ผิวหนังทั่วไป
24 มิถุนายน 2568

ฟิลเลอร์จมูก เป็นหัตถการที่ช่วยเสริมจมูก ทำให้จมูกโด่ง จมูกเป็นสัน และปลายจมูกเชิดขึ้นได้โดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ในขณะเดียวกันการฉีดฟิลเลอร์จมูกก็เป็นการฉีดฟิลเลอร์ในตำแหน่งที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดด้วย แต่แล้วฟิลเลอร์จมูกคืออะไร มีความเสี่ยงอะไรบ้าง ดีกว่าการศัลยกรรมจมูกหรือไม่ ราคาเท่าไหร่ มีขั้นตอนการทำและการดูแลตนเองหลังทำอย่างไร? ในบทความนี้ SkinX มีคำตอบ
SkinX แอปพลิเคชันปรึกษาแพทย์ผิวหนัง ที่ทำให้คุณสามารถปรึกษาแพทย์ผิวหนังเกี่ยวกับเรื่องความสวยความงาม ปัญหาสิว ผิวพรรณ และโรคผิวหนังต่างๆ ได้ทุกที่ สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องรอคิว เพราะผิวดี ไม่ต้องรอ!
ดาวน์โหลด SkinX ตอนนี้ ปรึกษากับแพทย์ครั้งแรกได้ฟรี! ไม่เสียค่าใช้จ่าย
ฟิลเลอร์จมูก (Nose Filler หรือในต่างประเทศจะเรียกว่า Non-Surgical Nose Job) คือการฉีดสารเติมเต็มเข้าสู่ใต้ผิวหนังในบริเวณจมูก เน้นการรักษาเพื่อปรับโครงจมูก ทั้งสร้างสันจมูก ปรับทรงปลายจมูกให้เชิดขึ้น หรือทำเป็นปลายจมูกรูปหยดน้ำที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในปัจจุบัน โดยสารที่ใช้ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อปรับทรงจมูกนี้ เป็นสารเติมเต็มที่ชื่อว่า “กรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic acid หรือ HA)”
ซึ่งสารเติมเต็มดังกล่าวเป็นสารที่มีอยู่ในผิวอยู่แล้ว ทำให้การฉีดจมูกด้วยกรดไฮยาลูรอนิคจึงค่อนข้างปลอดภัย เสี่ยงแพ้น้อย สารที่ฉีดสลายไปได้เองตามธรรมชาติ หรือสามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้หากผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร
นอกจากนี้ กรดไฮยาลูรอนิคยังทำหน้าที่กักเก็บน้ำ ทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดชุ่มชื้น อิ่มน้ำ และเรียบเนียนขึ้นได้อีกด้วย
“นอกจากกรดไฮยาลูรอนิคแล้ว สารเติมเต็มหรือ ‘Filler’ ยังมีสารสังเคราะตัวอื่นๆ ที่ใช้ฉีดเป็นฟิลเลอร์อีก เช่น โพลีอัลคิลลิไมด์ (Polyalkylimide), และโพลีเมทิลเมทาคริเลท (Polymethylmethacrylate หรือ PMMA) แต่ในปัจจุบันไม่นิยมใช้สารเหล่านี้ฉีดเป็นฟิลเลอร์แล้ว เนื่องจากสารเหล่านี้เป็นฟิลเลอร์ชนิดถาวร และชนิดกึ่งถาวร ทำให้ไม่สลายตัวไปหลังฉีด จึงเป็นอันตราย หากต้องการแก้ไขผลการรักษาจะต้องผ่าตัดขูดออก อีกทั้งสารเหล่านี้ยังไม่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของไทยอีกด้วย”
ฟิลเลอร์ ที่ใช้ฉีดเป็นฟิลเลอร์จมูก สามารถใช้ได้เพียงฟิลเลอร์ที่มีเนื้อค่อนข้างแน่น แข็ง ความคงตัวสูง ไม่ฟู ไม่ไหลง่าย เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์จมูกจะเป็นการฉีดเพื่อเลียนแบบกระดูก และกระดูกอ่อนที่เป็นฐานของทรงจมูก การเลือกฟิลเลอร์ที่เป็นเนื้อแข็งจะทำให้ได้ทรงจมูกที่เป็นธรรมชาติ จมูกหลังการรักษาเป็นทรงสวย ไม่ไหลไปที่เนื้อเยื่ออื่น
ซึ่งการเลือกฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีด แพทย์จะเป็นผู้เลือกให้ตามลักษณะเนื้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสม และตามงบประมาณที่ตั้งไว้ ตัวอย่างยี่ห้อฟิลเลอร์ที่สามารถฉีดได้ ผ่านการรับรองขององค์การอาหารและยาทั้งในไทยและสหรัฐอเมริกาแล้ว เช่น Juvederm, Belotero, Restylane, Neuramis, และ e.p.t.q. เป็นต้น
การฉีดฟิลเลอร์จมูกมีจุดประสงค์หลักในการปรับรูปทรงจมูก ทั้งการทำสันจมูก ปรับจมูกที่เบี้ยว ปรับสันจมูกที่โก่งให้ตรงขึ้น เปลี่ยนรูปปลายจมูก ปรับจมูกให้สวย เข้ากับรูปหน้ามากขึ้น
ทั้งนี้ การฉีดฟิลเลอร์จมูกก็มีข้อจำกัดอยู่บ้าง ได้แก่
แล้วฉีดฟิลเลอร์จมูก กับผ่าตัดเสริมจมูก ต่างกันอย่างไร? อะไรดีกว่ากัน?
การฉีดฟิลเลอร์จมูกเป็นการฉีดสารเติมผิวเพื่อปรับทรงจมูก ในขณะที่การศัลยกรรมเสริมจมูกเป็นการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนทรงจมูก โดยการใส่วัสดุทางการแพทย์เข้าไปบริเวณสันจมูก ตัวอย่างวัสดุเสริมจมูก เช่น ซิลิโคน (Silicone), กอร์เท็กซ์ (Gore-tex), หรือกระดูกอ่อน จากร่างกายผู้เข้ารับการรักษาเอง ซึ่งมีข้อดีข้อเสียต่างกันดังนี้
การฉีดฟิลเลอร์จมูก
| การศัลยกรรมเสริมจมูก | |
ประสิทธิภาพในการปรับทรงจมูก |
ปรับทรงได้น้อย แต่ทรงที่ได้จะดูเป็นธรรมชาติ เพราะอิงกับฐานจมูกเดิม
| สามารถปรับทรงได้มากกว่าการฉีดฟิลเลอร์ |
ความรู้สึกเจ็บปวดจากการรักษา |
เจ็บเล็กน้อยขณะฉีด
| หลังยาชาและยาสลบหมดฤทธิ์จะเจ็บระบมมาก |
ราคาการทำต่อครั้ง |
ถูกกว่า
| แพงกว่า |
ระยะเวลาของผลการรักษา |
อยู่ได้ประมาณ 1 - 2 ปี
| อยู่ได้อย่างถาวร |
ระยะเวลาที่ใช้ในการพักฟื้น |
ประมาณ 1 สัปดาห์
| ประมาณ 2 สัปดาห์ |
ระยะเวลาที่จมูกจะเข้ารูป |
ประมาณ 2 สัปดาห์
| ประมาณ 6 เดือน |
จากตาราง จะเห็นว่าการฉีดเสริมจมูกด้วยฟิลเลอร์และการศัลยกรรมมีข้อดีและข้อเสียที่ต่างกัน หากถามว่าอะไรดีกว่ากัน อาจจะต้องตอบว่าแล้วแต่กรณี เนื่องจากความต้องการ และพื้นฐานจมูกเดิมของผู้เข้ารับการรักษาแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากต้องการเปลี่ยนทรงจมูกที่ต่างจากเดิมมาก หรือไม่มีเวลาดูแลตัวเองมากนัก แพทย์จะแนะนำให้ทำจมูกไปเลย ทำรอบเดียวได้ผลที่ถาวร ทั้งยังทำให้ได้ทรงจมูกตามที่ต้องการได้มากกว่าแต่ถ้ากลัวเจ็บ ไม่กล้าผ่าตัด หรือไม่มีเวลาพักฟื้นนานเป็นเดือน แพทย์จะแนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์ไปก่อน อาจจะแนะนำให้ร้อยไหมยกทรงจมูก หรือแนะนำให้ทำทั้งสองอย่างร่วมกัน เนื่องจากการร้อยไหมและฉีดฟิลเลอร์ไม่ต้องพักฟื้นนาน ใช้เวลาในการทำน้อยกว่า และเจ็บน้อยกว่าด้วย
“ร้อยไหมคืออะไร? การร้อยไหมคือการใช้ไหมละลายที่มีปลายเป็นตะขอ ร้อยเข้าไปใต้ผิวหนัง โดยตะขอจะดึงเนื้อเยื่อให้ยกขึ้นการร้อยไหมจมูกสามารถทำให้จมูกโด่ง ปลายจมูกยกขึ้นได้ ผลการรักษาจากการร้อยไหมจะอยู่ได้ประมาณ 6 - 18 เดือนก่อนที่ไหมจะสลายไปเหมือนกับฟิลเลอร์จมูก แต่ไหมละลายไม่สามารถฉีดสลายได้เหมือนฟิลเลอร์ ทำให้แก้ไขผลการรักษาได้ยากกว่า”
“ฮัมพ์ (Hump) คือส่วนรอยต่อกระดูกระหว่างกระดูกแข็ง และกระดูกอ่อนบริเวณสันจมูก ผู้ที่มีเชื้อสายทางตะวันตก หรือตะวันออกกลางมักจะมีฮัมพ์นูนขึ้นมา ทำให้สันดั้งจมูกปูดโค้งขึ้นมาเหมือนเป็นตุ่ม ผู้เข้ารับการรักษาบางรายจึงอยากตะไบกระดูกในส่วนนี้ออกเพื่อให้สันจมูกคมและตรงขึ้น แต่การฉีดฟิลเลอร์จมูก สามารถฉีดเพื่อยกผิวหนังส่วนอื่นๆขึ้น ทำให้ฮัมพ์มองเห็นไม่ชัดเท่าเดิมได้ เป็นการแก้ไขฮัมพ์โดยไม่ต้องผ่าตัด”
จริงๆ แล้ว ฟิลเลอร์จมูกเป็นหัตถการที่อันตรายกว่าการฉีดฟิลเลอร์ในส่วนอื่นๆ เนื่องจากจมูกเป็นพื้นที่ที่เส้นเลือดแดงสำคัญบนใบหน้าวางตัวอยู่หลายเส้น ทำให้สามารถเกิดข้อผิดพลาดได้ง่ายหากแพทย์ไม่ชำนาญ
หากแพทย์ที่ฉีดไม่มีประสบการณ์มากพอ อาจทำให้เกิดอาการช้ำจากเส้นเลือดเสียหาย ฟิลเลอร์ย้อนเข้าเส้นเลือดจนเกิดการอุดตัน ทำให้เกิดเนื้อตายหรือทำให้ตาบอดได้เลย
เส้นเลือดแดงเส้นสำคัญที่ชื่อ Dorsal nasal a. เป็นเส้นเลือดแดงที่จะนำเลือดไปหล่อเลี้ยงดวงตา ซึ่งเส้นเลือดดังกล่าวจะอยู่ใต้ผิวหนังตั้งแต่บริเวณหัวตา หว่างคิ้ว ลงมาจนถึงบริเวณใกล้ปลายจมูก ทำให้หลีกเลี่ยงได้ยากเมื่อฉีดฟิลเลอร์ หากเกิดข้อผิดพลาดจนฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือดดังกล่าว จะทำให้ตาบอดได้
แม้ความเสี่ยงตาบอดจากการฉีดฟิลเลอร์จมูกจะมีมากกว่าการฉีดฟิลเลอร์ในตำแหน่งอื่นๆ แต่จากสถิติพบว่าเคสผู้ป่วยสูญเสียการมองเห็นจากการฉีดฟิลเลอร์จมูกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีน้อยกว่า 0.08% และลดลงเรื่อยๆ เมื่อการแพทย์พัฒนาขึ้น
นอกจากนี้ แพทย์จะมีนัดติดตามผลหลังการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงอันตรายหลังการฉีดฟิลเลอร์จมูก ทำให้แม้ฟิลเลอร์จะอุดตันเส้นเลือดหลังการฉีด แพทย์ก็จะสามารถรักษาให้ได้ทันก่อนที่จะเกิดเนื้อตายหรือสูญเสียการมองเห็นนั่นเอง
ฉีดฟิลเลอร์จมูกราคาเท่าไหร่? ฉีดจมูกราคาจะแตกต่างกันไปตามยี่ห้อฟิลเลอร์ รุ่นของฟิลเลอร์ที่แพทย์เลือกใช้ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องฉีด และค่าบริการทางการแพทย์ของสถานพยาบาลแต่ละแห่ง โดยฟิลเลอร์จมูกไม่ควรฉีดเกิน 1 cc ราคาฟิลเลอร์โดยทั่วไปก็จะอยู่ที่ cc ละ 6,000 - 20,000 บาท ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ยี่ห้อนั้นๆ
การเตรียมตัวก่อนการฉีดฟิลเลอร์จมูก
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์จมูก
หลังฉีดฟิลเลอร์จมูก มีข้อควรปฏิบัติดังนี้
1. ช่วง 2 - 3 วันหลังฉีดฟิลเลอร์จมูก
a. หลีกเลี่ยงการจับบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์จมูกโดยไม่จำเป็น ไม่ควรกด นวด เพราะจะทำให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวยาก ฟิลเลอร์เคลื่อน และอาจทำให้ผิวช้ำได้
b. ไม่ควรถูกแสงแดด เนื่องจากผิวจะไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าปกติ อีกทั้งอุณหภูมิกลางแจ้งยังมีผลต่อการเซ็ตตัวของฟิลเลอร์ด้วย
c. ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพราะมีผลกับระบบเลือด อาจทำให้บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์จมูก อักเสบ และหายช้า
d. นอนหมอนสูงให้ศีรษะสูงกว่าลำตัว ควรนอนหงาย ไม่ควรนอนคว่ำหรือนอนตะแคง เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์ผิดรูปได้
2. ช่วง 4 - 5 วันหลังฉีดฟิลเลอร์จมูก ควรดื่มน้ำสะอาดประมาณ 1-2 ลิตรต่อวัน
3. ช่วง 1 อาทิตย์หลังจากฉีดฟิลเลอร์จมูก
a. ยังไม่ควรใช้ยา อาหารเสริม หรือสมุนไพร ที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด รวมทั้งยังไม่ควรออกกำลังกายจนเลือดสูบฉีดมากกว่าปกติ เพราะจะทำให้แผลหายช้า
b. ไม่ควรทานอาหารสุกดิบ และนมวัว เพราะทำให้แผลเสี่ยงติดเชื้อ
c. ไม่ควรทานอาหารรสจัดและอาหารหมักดอง เพราะจะไปกระตุ้นการอักเสบ
4. ช่วง 1 เดือนหลังฉีดฟิลเลอร์จมูก ไม่ควรทำเลเซอร์ทุกชนิด เพราะจะทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วกว่าที่ควรเป็น
5. ไม่ควรอยู่ในที่ร้อน เช่นห้องซาวน่า หรือร้านอาหารที่มีเตาร้อน เนื่องจากความร้อนจะทำให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวผิดปกติ และสลายได้ไว
หากดูแลตนเองตามข้อปฏิบัติดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ผลการรักษาออกมาดี โอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยลง และยังทำให้ฟิลเลอร์สลายได้ช้าลงอีกด้วย
นอกจากฟิลเลอร์จมูกแล้ว ยังมีการฉีดฟิลเลอร์หน้าในตำแหน่งอื่นๆ อีก ได้แก่
ทั้งนี้ โอกาสเกิดผลข้างเคียงดังกล่าวจะลดลงได้ หากผู้เข้ารับการรักษาศึกษาเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์จมูกมาก่อนการรักษา ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง รวมทั้งเลือกสถานพยาบาลได้มาตรฐาน และเลือกแพทย์ที่เชี่ยวชาญจริง ดำเนินการฉีดฟิลเลอร์จมูกเองในทุกขึ้นตอน
สำหรับผู้ที่สนใจปรับรูปจมูก อยากมีทรงจมูกที่สวยขึ้น อยากได้ทรงจมูกที่ดูเป็นธรรมชาติมากๆ และไม่ได้อยากทำศัลยกรรมจมูก การฉีดฟิลเลอร์จมูกก็จะเป็นทางเลือกที่ดีมาก หากยังไม่มั่นใจก็สามารถปรึกษากับแพทย์ผิวหนังก่อนได้ ว่าทรงจมูกใหม่ที่อยากได้ สามารถแก้ไขด้วยหัตถการใดได้บ้าง แต่ละวิธีการมีข้อดีข้อเสียอย่างไร เพื่อเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจทำจมูกต่อไป
ฉีดฟิลเลอร์จมูกจะรู้สึกเจ็บตึงๆ เล็กน้อย เนื่องจากมีการใช้ยาชา ทำให้ไม่เจ็บมากอย่างที่คิด อีกทั้งฟิลเลอร์บางยี่ห้อ อย่าง Juvederm ยังผสมยาชาลงในเนื้อฟิลเลอร์ด้วย ทำให้ขณะฉีดและหลังฉีดรู้สึกเจ็บน้อยลง
ฟิลเลอร์ที่จมูกจะไม่อยู่ถาวร เนื่องจากฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนิคเป็นฟิลเลอร์ที่สลายตัวได้เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1 - 2 ปี ทำให้จมูกค่อยๆยุบลง และกลับมาเป็นทรงเดิมในที่สุด ผู้ที่สนใจฉีดเฟิลเลอร์จมูกอาจจะต้องไปเติมฟิลเลอร์ทุกๆปี หรือหากอยากให้ผลการรักษาอยู่อย่างถาวร ก็จะต้องทำศัลยกรรมเสริมจมูกแทน
ฟิลเลอร์ที่จมูกจะสลายไปเองได้ โดยที่ไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ เนื่องจากร่างกายเราสามารถสลายกรดไฮยาลูรอนิคได้เป็นปกติอยู่แล้ว ทำให้ฟิลเลอร์จมูกสามารถสลายไปเองได้โดยไม่ทำให้เกิดอันตรายนั่นเอง
นอกจากฟิลเลอร์จมูกแล้ว การแก้ทรงจมูกยังมีทางเลือกอีกมากมาย ผู้ที่สนใจควรศึกษาหาข้อมูล และปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนการตัดสินใจทำ เพื่อให้แพทย์ประเมินก่อนว่าทรงจมูกที่ต้องการทำสามารถแก้ไขด้วยวิธีการใดได้บ้าง แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียอย่างไร ให้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจต่อไป
ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์จมูก การทำจมูก หรือปัญหาเกี่ยวกับความสวยความงาม และปัญหาผิวหนังในด้านอื่นๆ สามารถปรึกษากับแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญกว่า 210 ท่านได้ง่ายๆ ผ่านทางแอปพลิเคชัน SkinX เพียงดาวน์โหลด และลงทะเบียน ก็สามารถเลือกปรึกษาแพทย์ในครั้งแรกได้ฟรี! ดาวน์โหลดและปรึกษาได้เลยตอนนี้ เพราะผิวดี ไม่ต้องรอ!
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก
DeVictor, S., Ong, A. A., & Sherris, D. A. (2021, February 16). Complications Secondary to
Nonsurgical Rhinoplasty: A Systematic Review and Meta-analysis. National Library of
Medicine. https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/33588622/#:~:text=The%20most%20comm
only%20reported%20complications,reports%20of%20infection%20(0.07%25).
Chen, Q., Liu, Y., & Fan, D. (2016, April 21). Serious Vascular Complications after Nonsurgical
Rhinoplasty: A Case Report. National Library of Medicine. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/
articles/PMC4859242/
บทความที่เกี่ยวข้อง
ดูทั้งหมด