“ฉีดโบลดกราม” มีผลข้างเคียงไหม? ก่อนทำควรรู้อะไรบ้าง?
การฉีดโบท็อกซ์ คือหัตถการที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะ “การฉีดโบลดกราม” เพราะเป็นหัตถการที่ทำให้หน้าเรียว ทรง V-Shape ได้โดยที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ และเห็นผลในเวลาประมาณ 4 – 6 สัปดาห์
แล้วการฉีดโบท็อกซ์กรามคืออะไร มีวิธีการทำอย่างไร รวมถึงมีผลข้างเคียงและข้อควรระวังอะไรบ้างที่ควรทราบก่อนการฉีดโบท็อกซ์? ในบทความนี้ SkinX จะมาตอบคำถามทุกอย่างเกี่ยวกับการฉีดโบลดกราม
SkinX แอปพลิเคชันปรึกษาปัญหาผิวและความสวยความงาม ที่ทำให้คุณสามารถเลือกปรึกษาแพทย์ผิวหนังกว่า 210 ท่านได้ผ่านระบบออนไลน์ สะดวก ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องรอคิว เพียงดาวน์โหลดแอปฯ ตอนนี้ สามารถปรึกษาแพทย์ครั้งแรกได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ฉีดโบท็อกซ์ลดกรามคืออะไร?
การฉีดโบลดกราม หรือการ ฉีดหน้าเรียว (Botox for Masseter Reduction / V-line Procedure / Masseter Hypertrophy) คือการนำหัตถการการฉีดโบท็อกซ์มาใช้เพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อบริเวณกราม เพื่อให้มีรูปหน้าที่เรียวเล็กกว่าเดิม รวมทั้งทำให้กรอบหน้าและสันกรามชัดขึ้นด้วย
ก่อนจะรู้กระบวนการลดกราม ควรรู้จักกับโบท็อกซ์ก่อน
การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) คือหัตถการอย่างหนึ่ง ที่จะใช้สารที่ชื่อว่า โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin A) จากแบคทีเรียชนิด Anaerobic ชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium botulinum) ฉีดเข้าไปที่บริเวณผิวหนังและกล้ามเนื้อ สารชนิดนี้จะไปออกฤทธิ์กับระบบประสาทในบริเวณที่ฉีด
โบท็อกซ์จะไปรบกวนการตอบสนองของกล้ามเนื้อต่อสารเคมีที่ส่งมาจากระบบประสาท (Neuromodulator) ทำให้ระบบประสาทไม่สามารถสั่งงานกล้ามเนื้อให้ทำงานได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ กล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์จะขยับได้ไม่มากเท่าเดิมและมีขนาดเล็กลง ดังนั้นโบท็อกซ์จึงถูกนำมาใช้ด้วยเหตุผลด้านความสวยความงามในหลายๆ ด้านทั้งการลดรอยเหี่ยวย่นจากการที่กล้ามเนื้อทำงานมากเกินไป และลดขนาดกล้ามเนื้อที่ใหญ่จนเกิน
“นอกจากสามารถนำมาใช้เพื่อความสวยความงามได้แล้ว โบท็อกซ์ยังสามารถนำมาใช้ในเหตุผลด้านสุขภาพได้ด้วย เช่น การนำมาใช้ลดการทำงานของต่อมเหงื่อ ในผู้ที่เหงื่อออกมากเกินไป รักษาอาการตากระตุก ไมเกรนเรื้อรัง โรคตาขี้เกียจ และอื่นๆ อีกมากมาย”
แล้วฉีดโบท็อกซ์หน้าเรียวจริงไหม? ฉีดโบลดกรามมีกระบวนการทำงานอย่างไรบ้าง?
บริเวณกรามของคนเราจะมีกล้ามเนื้อส่วนที่เรียกว่า Masseter muscle ซึ่งกล้ามเนื้อส่วนนี้เป็นกล้ามเนื้อที่มีขนาดใหญ่ อยู่บริเวณกราม ด้านข้างแก้มทั้งสองข้าง มีหน้าที่เกี่ยวกับการบทเคี้ยวอาหาร
หากกล้ามเนื้อส่วนนี้มีขนาดใหญ่มาก จะส่งผลให้กรามดูใหญ่จนไม่เหมาะกับรูปหน้าโดยรวม ทำให้หลายๆ คนอาจรู้สึกไม่มั่นใจในใบหน้าของตนเอง จากการที่กล้ามเนื้อส่วนนี้ทำให้หน้าดูใหญ่จนเกินไป
การโบท็อกซ์กราม จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาในจุดนี้ เมื่อฉีดโบท็อกซ์เข้าไปที่กล้ามเนื้อส่วน Masseter muscle จะทำให้กล้ามเนื้อดังกล่าวมีขนาดเล็กลง ส่งผลให้กรามเล็กลงจนหน้าดูเรียวขึ้นได้นั่นเอง
“การฉีดโบลดกราม ต้องฉีดโบท็อกซ์ที่กล้ามเนื้อ Masseter muscle ทำให้กล้ามเนื้อส่วนนี้ทำงานน้อยลง แต่กล้ามเนื้อส่วนนี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคี้ยว ดังนั้นการโบท็อกซ์กรามจะมีผลต่อการเคี้ยวอาหารหรือไม่? คำตอบคือมีน้อยมากๆ ถึงไม่มีเลย เนื่องจากการเคี้ยวอาหารยังมีกล้ามเนื้อส่วนอื่นที่ใช้ในการเคี้ยวอีก การที่กล้ามเนื้อทำงานน้อยลงเพียงส่วนเดียวจึงไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่เมื่อผู้ที่ฉีดโบลดกราม ทานอาหารที่เหนียวมากๆ อาจจะทำให้รู้สึกเมื่อยกรามเร็วกว่าปกติเนื่องจากกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ ทำงานหนักนั่นเอง”
จะรู้ได้อย่างไรว่าถึงเวลาต้องฉีดโบท็อกซ์ลดกรามแล้ว?
การฉีดโบลดกราม แพทย์จะแนะนำให้ฉีดเมื่อรู้สึกไม่พึงพอใจในรูปหน้าของตนเอง ที่อาจจะดูแก้มเยอะไป กรามใหญ่ไป หรือสันกรามไม่ชัด แต่ทั้งนี้ก็ต้องผ่านการวินิจฉัยจากแพทย์ก่อน
เพราะการที่กรามใหญ่ อาจไม่ได้เกิดจากกล้ามเนื้อส่วน Masseter muscle เพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถเกิดจากกระดูกและไขมันได้ด้วย ซึ่งหากกรามใหญ่ แก้มเยอะ สันกรามไม่ชัดจากปัญหากระดูกกรามและไขมัน ก็ไม่สามารถแก้ไขด้วยการฉีดโบท็อกซ์กรามได้
“ก่อนตัดสินใจฉีดโบท็อกซ์หน้าเรียว จะต้องปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุของปัญหาก่อน หากเกิดจากกล้ามเนื้อ แพทย์จะนิยมให้ฉีดโบท็อกซ์กราม หากเกิดจากกระดูกกรามใหญ่ มักจะแก้ไขด้วยการเสริมคางหรือผ่าตัดลดกราม และหากเกิดจากไขมัน มักแก้ไขด้วยการลดไขมันหรือดึงหน้า”
หลังฉีดโบท็อกซ์ลดกรามแล้ว กี่วันเห็นผล?
ฉีดโบลดกรามกี่วันเห็นผล? การฉีดโบท็อกซ์กราม จะเริ่มเห็นผลประมาณ 2 สัปดาห์ เห็นผลชัดเจนขึ้นในเวลา 4 – 6 สัปดาห์ และการเปลี่ยนแปลงจะเริ่มคงที่ในเวลา 8 – 12 สัปดาห์ จะเห็นว่าใช้เวลาค่อนข้างนาน เนื่องจากต้องรอให้ Botulinum toxin A ค่อยๆ ออกฤทธิ์นั่นเอง
ส่วนผลการรักษาจะไม่ได้อยู่ถาวร การฉีดโบลดกรามจะอยู่ได้ประมาณ 4 – 6 เดือน เมื่อโบท็อกซ์หมดฤทธิ์กล้ามเนื้อส่วนนี้จะค่อยๆ กลับมาทำงานและมีขนาดใหญ่ขึ้นได้ ผู้ที่ต้องการคงผลการรักษาไว้ แพทย์จะให้กลับมาฉีดหน้าลดกรามซ้ำทุก 4 – 6 เดือน และไม่ควรฉีดบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้เกิดอาการดื้อโบท็อกซ์ จนฉีดโบท็อกซ์ไม่ได้ผล
ทั้งนี้การฉีดโบท็อกซ์จะให้ผลแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนกรามลดลงมาก บางคนลดน้อย บางคนฉีดลดกรามไม่ได้ผลเลยก็มี ส่วนระยะเวลาฉีดโบท็อกซ์กรามกี่วันเห็นผลนั้น ก็ขึ้นอยู่กับร่างกายและการดูแลตนเองหลังฉีดโบท็อกซ์ของแต่ละคนด้วยเช่นกัน
โบท็อกซ์ลดกรามอันตรายหรือไม่?
การฉีดโบท็อกซ์ เป็นหัตถการที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาทั่วโลกแล้วว่าปลอดภัย สามารถใช้ได้ทั้งกับด้านสุขภาพ และความสวยความงาม แต่การฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดกราม กลับยังไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) แต่อย่างใด
บริเวณที่ได้รับการรับรองให้ฉีดโบท็อกซ์เพื่อความสวยความงามได้อย่างปลอดภัย มีเพียงบริเวณรอยย่นบนหน้าผาก, รอยย่นที่หว่างคิ้ว, และรอยตีนกาเท่านั้น ส่วนจุดอื่นๆ ในบริเวณใบหน้าด้านล่างยังไม่ได้รับการรับรอง เนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว
ในปัจจุบัน งานวิจัยที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับผลข้างเคียงระยะยาวของการฉีดโบลดกรามยังคงดำเนินต่อไป โดยผลข้างเคียงที่นักวิจัยกำลังสงสัยกันว่าอาจเกิดขึ้นได้ในระยะยาว คือการสูญเสียมวลกระดูกบริเวณขากรรไกรล่าง
ทั้งนี้ ผลข้างเคียงดังกล่าวยังไม่ได้รับการรับรองว่าจะเกิดขึ้นจริงเช่นกัน เนื่องจากการทดลองส่วนใหญ่ที่ให้ผลว่าสูญเสียมวลกระดูก เป็นการทดลองในสัตว์ ส่วนงานวิจัยในคนที่ให้ผลว่าสูญเสียมวลกระดูก เป็นงานวิจัยศึกษาเกี่ยวกับการใช้โบท็อกซ์รักษาภาวะความผิดปกติของข้อต่อขากรรไกร (TMJ) ที่รักษาโดยการฉีดโบท็อกซ์เข้าสู่กล้ามเนื้อบดเคี้ยวอื่นๆ (Masticatory muscles) ไม่ใช่กล้ามเนื้อ Masseter muscle ในการฉีดโบท็อกซ์กรามแต่อย่างใด
ในปัจจุบัน จึงยังมีการให้บริการฉีดโบลดกรามตามปกติ เนื่องจากเชื่อว่าการฉีดโบท็อกซ์ในบริเวณดังกล่าวมีความปลอดภัยเหมือนกับการฉีดโบท็อกซ์บริเวณหน้าผาก หว่างคิ้ว และหางตา
ดังนั้น ผู้ที่ต้องการฉีดโบลดกราม ควรศึกษาเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์ก่อนการฉีดให้ดี ทั้งเรื่องความเสี่ยงต่างๆ การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน เลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ และเลือกยี่ห้อโบท็อกซ์ที่เป็นโบท็อกซ์แท้ ผ่านการรับรองจากองค์กรอาหารและยาของประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว
โบท็อกซ์ยี่ห้อไหนผ่านองค์กรอาหารและยาในไทยบ้าง? : โบท็อกซ์ยี่ห้อไหนดี
ปัญหาที่(อาจ)เกิดจากการทำโบท็อกซ์ลดกราม
การฉีดโบลดกรามก็มีความเสี่ยงเกิดปัญหาต่างๆ ตามมาเช่นกัน ซึ่งผลข้างเคียงที่พบบ่อยๆ ได้แก่
ทำโบลดกรามแล้วทำให้ยิ้มแข็ง ยิ้มไม่สุด
ถ้าฉีดโบลดกรามแล้วยิ้มแข็ง ยิ้มไม่สุด อาจเกิดจากตัวโบท็อกซ์ไปออกฤทธิ์ที่กล้ามเนื้อส่วน Risorius Muscle จนทำให้กล้ามเนื้อส่วนที่มีผลต่อการยิ้มส่วนนี้ทำงานน้อยลงไปด้วย เมื่อ Risorius Muscle ทำงานน้อยลง ก็จะทำให้ยิ้มได้ไม่สุด หรือบางครั้งอาจจะทำให้ยิ้มแล้วปากเบี้ยวได้เลย
สาเหตุอาจจะเกิดจากแพทย์ฉีดโบท็อกซ์โดนกล้ามเนื้อ Risorius หรือโบท็อกซ์กระจายออกไปถึงกล้ามเนื้อ Risorius
ในกรณีที่แพทย์ฉีดโบท็อกซ์โดนกล้ามเนื้อ Risorius อาจเกิดจากความไม่เชี่ยวชาญ หรือบางครั้งอาจเกิดจากเหตุสุดวิสัยก็ได้ เนื่องจากในผู้เข้ารับการฉีดโบท็อกซ์กรามบางราย มีกล้ามเนื้อ Risorius Muscle ที่วางตัวผิดจากปกติ คืออยู่ต่ำเกินไป ทำให้แพทย์ไม่ทราบว่าจุดที่ฉีดคือกล้ามเนื้อที่ส่งผลต่อการยิ้ม จนส่งผลให้ยิ้มแข็ง ยิ้มไม่สุดได้
หากเกิดปัญหานี้ขึ้น จะไม่มีวิธีแก้ปัญหาที่สามารถเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากจะต้องรอให้โบท็อกซ์หมดฤทธิ์ไปเอง ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ
4 – 6 เดือน หากอยากให้โบท็อกซ์หมดฤทธิ์เร็วควรประคบร้อนบ่อยๆ หรือใช้คลื่น Radio-Frequency ช่วยสลายโบท็อกซ์ให้หมดฤทธิ์เร็วขึ้นได้
ทำโบลดกรามแล้วเหนียงเพิ่มขึ้น
ทำโบลดกรามแล้วเหนียงเพิ่มขึ้น เกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณกรามยุบลง ทำให้ผิวหนังไม่เต่งตึงเท่าเดิมจนอาจเกิดเหนียงได้ วิธีแก้ไขคือ แพทย์จะแนะนำหัตถการลดเหนียงอื่นๆ ให้ทำควบคู่ไปด้วย อย่างการฉีดโบท็อกซ์หน้าเรียว ดูดไขมัน เมโสแฟต การใช้คลื่นสลายไขมัน และอื่นๆ
ทำโบลดกรามแล้วปากเบี้ยว
ส่วน Risorius Muscle หรือ Zygomatic Muscle ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ใกล้เคียง และทับซ้อนกันอยู่กับ Masseter muscle ที่ต้องฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดกราม
หากเกิดกรณีนี้ ไม่ต้องแก้อะไร เนื่องจากไม่ใช่ผลข้างเคียงที่อันตราย และจะค่อยๆ หายไปเมื่อโบท็อกซ์หมดฤทธิ์ ประมาณ 4 – 6 เดือน หากอยากให้หายไปเร็วขึ้น แพทย์จะแนะนำให้ประคบอุ่นบ่อยๆ หรือใช้คลื่น Radio-Frequency ซึ่งจะทำให้ฤทธิ์ของโบท็อกซ์สลายไปเร็วขึ้นนั่นเอง
ผลข้างเคียงอื่นๆ จากการฉีดโบลดกราม
นอกจากผลข้างเคียงที่กล่าวมา การฉีดโบลดกรามยังสามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่นๆ ได้อีก โดยผลข้างเคียงเหล่านี้เป็นผลข้างเคียงที่สามารถพบได้จากการฉีดโบท็อกซ์ทุกตำแหน่ง ซึ่งผลข้างเคียง ได้แก่
- รู้สึกเจ็บ หรือบวมแดงในบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาการดังกล่าวจะหายไปเองในไม่กี่วัน
- อาการช้ำ จากเข็มโบท็อกซ์ไปสะกิดโดนเส้นเลือด
ผลข้างเคียงเหล่านี้เป็นเพียงผลข้างเคียงเล็กน้อยที่สามารถหายเองได้เมื่อเวลาผ่านไป แต่ถ้าเกิน 1 สัปดาห์แล้ว อาการบวมแดงยังไม่หาย เป็นมากกว่าเดิม เจ็บบริเวณที่ฉีดมาก หรือมีความผิดปกติอื่นๆ เกิดขึ้น ควรรีบพบแพทย์ในทันที
“ใครบ้างที่ยังไม่ควรฉีดโบลดกราม? ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์และให้นมบุตร , ผู้ที่แพ้โปรตีนในนมวัว , ผู้ที่มีสภาวะกล้ามเนื้อร่วมประสาท (neuromuscular disorder) , ผู้ที่เสี่ยงเป็นแผลเป็นคีลอยด์มากกว่าปกติ”
ฉีดโบท็อกซ์ลดกรามราคาเท่าไหร่?
ฉีดโบลดกรามราคาเท่าไหร่? โดยปกติแล้วโบท็อกซ์ 100 ยูนิต จะราคาประมาณ 7,000 – 19,000 บาท ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้ฉีด และอาจจะบวกค่าบริการของแต่ละคลินิกไปอีก
ปกติราคาค่าบริการในการฉีดโบท็อกซ์กรามจะขึ้นอยู่กับจำนวนยูนิตที่ต้องใช้ ยี่ห้อโบท็อกซ์ที่เลือกใช้ รวมกับค่ารักษาพยาบาลของแต่ละคลินิก โดยปกติแล้วโบท็อกซ์จะขายทีละ 50 100 150 200 300 หรือ 600 ยูนิต ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละยี่ห้อผลิตออกมาในขนาดเท่าไหร่บ้าง
ส่วนใหญ่โบท็อกซ์ที่ใช้ฉีดหน้า รวมไปถึงฉีดโบลดกรามจะเป็นขนาด 50 – 300 ยูนิต แต่ขนาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือขนาด 100 ยูนิต ส่วนการฉีดโบท็อกซ์กรามนั้น จะใช้โบท็อกซ์ที่ประมาณข้างละ 30 – 40 ยูนิต แพทย์ก็จะแนะนำให้ซื้อทีละ 100 ยูนิตไปเลย หากพอมียูนิตเหลือก็สามารถฉีดเสริมในส่วนอื่นๆ ได้
“บางคลินิกใช้วิธีการคิดเงินตามจำนวนยูนิตที่ต้องฉีด ทำให้เกิดกรณีที่ผู้เข้ารับการรักษาหลายคนใช้โบท็อกซ์จากขวดเดียวกัน ซึ่งจุดนี้อาจส่งผลเสียกับผู้เข้ารับการรักษาได้ในหลายๆ ทาง เนื่องจากผู้เข้ารับการรักษาไม่สามารถทราบได้ว่าโบท็อกซ์ที่ใช้ฉีด เปิดมานานเท่าไหร่แล้ว เสี่ยงมีเชื้อโรคปนเปื้อนหรือไม่ ยาเสื่อมอายุหรือยัง และโบท็อกซ์เหล่านี้แพทย์มักจะดูดใส่เข็มแล้วนำมาฉีดให้เลย โดยที่ผู้เข้ารับการรักษาจะไม่เห็นขวดและฉลาก ส่งผลให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นโบท็อกซ์ปลอมหรือโบท็อกซ์หิ้วหรือไม่”
คำถามที่พบบ่อย
ฉีดโบท็อกซ์ลดกรามแล้วเป็นก้อน
ฉีดโบท็อกซ์แล้วเป็นก้อนขณะกัดฟัน อาจเกิดจากกล้ามเนื้อยังยุบลงไม่หมด สามารถพบได้ช่วงสัปดาห์แรกๆ หลังฉีดโบลดกราม หากเกิดปัญหานี้ขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องแก้ไขแต่อย่างใด เพราะเมื่อโบท็อกซ์กระจายตัวทั่วแล้ว ก้อนปูดแบบนี้ก็จะหายไปภายใน 12 สัปดาห์
แต่ถ้ายังมีอาการหลังจากที่ฉีดไปแล้ว 2 – 4 สัปดาห์ สามารถพบแพทย์เพื่อฉีดโบท็อกซ์เพิ่มเติมในส่วนของกล้ามเนื้อกรามที่ยังเป็นก้อนจากการที่ไม่โดนโบท็อกซ์ได้
ฉีดโบท็อกซ์ลดกรามเจ็บไหม
ฉีดโบท็อกซ์ลดกรามเจ็บไหม? ผู้เข้ารับการฉีดโบลดกรามส่วนใหญ่บอกว่าฉีดโบท็อกซ์ไม่เจ็บ ถึงเจ็บเล็กน้อย เนื่องจากก่อนการฉีดโบท็อกซ์แพทย์อาจทายาชาให้ก่อนเพื่อลดความเจ็บ และหากยังรู้สึกเจ็บอยู่ หลังการรักษาสามารถให้แพทย์ประคบเย็นร่วมด้วยได้
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดโบท็อกซ์ลดกราม
หลังฉีดโบท็อกซ์ลดกราม แพทย์จะแนะนำให้ทำตามข้อปฏิบัติต่างๆ เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ โดยข้อปฏิบัติหลังฉีดโบท็อกซ์กราม มีดังนี้
- หลังฉีดทันที ควรขยับกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีด 1 – 2 ครั้ง และหลังจากฉีดแล้ว ควรขยับเรื่อยๆ อย่างเช่นยิ้ม กัดฟัน เคี้ยวอาหารหรือหมากฝรั่งตลอด 30 นาที เพื่อให้โบท็อกซ์ซึมเข้ากล้ามเนื้อได้ดีขึ้น โดยควรขยับประมาณ 40 ครั้งต่อ 10 นาที
- ไม่ควรประคบเย็นเอง แพทย์จะประคบเย็นให้หลังฉีดพักหนึ่ง แต่หลังจากนั้นการประคบเย็นจะทำให้โบท็อกซ์ซึมเข้าสู่กล้ามเนื้อได้แย่ลง
- หลังฉีดโบท็อกซ์ 4 ชั่วโมง ไม่ควรก้มตัวต่ำ หรือนอนราบ ให้ศีรษะต่ำกว่าหัวใจ
- 24 ชั่วโมงแรกหลังฉีดโบท็อกซ์ ไม่ควรทาครีม หรือเครื่องสำอางต่างๆ ลงบนใบหน้า
- ช่วงหลังฉีดโบลดกราม 14 วัน ควรหลีกเลี่ยงสถานที่อุณหภูมิสูง หรืออาหารอุณหภูมิสูง เนื่องจากยิ่งอุณหภูมิสูง ร่างกายยิ่งสลายโบท็อกซ์ได้มาก ทำให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์น้อย กรามไม่ยุบเท่าที่ควร
- 14 วันแรกหลังฉีดกราม งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะมีผลกับการสูบฉีดของเลือด ทำให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ได้ไม่ดีเท่าที่ควร
- 14 วันแรกหลังฉีดโบท็อกซ์ไม่ควรออกกำลังกาย เนื่องจากมีผลกับการสูบฉีดเลือดเช่นกัน
สรุป
การฉีดโบลดกราม เป็นหัตถการที่ช่วยให้กรามเล็กลงได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ทั้งนี้ ไม่ใช่ผู้ที่มีกรามใหญ่ทุกคนจะเหมาะกับการฉีดโบท็อกซ์ เนื่องจากโบท็อกซ์ไม่สามารถแก้ไขปัญหากรามใหญ่ที่เกิดจากไขมันหรือกระดูกได้ อีกทั้งโบท็อกซ์ยังมีโอกาสทำให้เกิดผลข้างเคียงต่างๆ ตามมาหลังฉีด ผู้ที่สนใจฉีดโบท็อกซ์กรามควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อหาสาเหตุปัญหากรามใหญ่ และให้แพทย์ช่วยแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
สนใจปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับโบท็อกซ์ และหัตถการอื่นๆ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน SkinX เพื่อปรึกษาแพทย์จากสถานพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศผ่านระบบออนไลน์ได้เลย โหลดแอปฯตอนนี้ ปรึกษาแพทย์ครั้งแรกได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก
Raphael, K. G. Preliminary Safety Study of Botulinum Toxin for Treatment of Myofascial TMJD
Pain. Grantome. https://grantome.com/grant/NIH/R01-DE024522-01
DeFrancesco, C. (2014, December 16). Popular Cosmetic Fix May Threaten Bone Density.
UConn Today. https://today.uconn.edu/2014/12/popular-cosmetic-fix-may-threaten-bone-density/#
Kwon, K. H., Shin, K. S., Yeon, S. H., & Kwon, D. G. (2019, October 1). Application of botulinum
toxin in maxillofacial field: part I. Bruxism and square jaw. Springer Open.
https://jkamprs.springeropen.com/articles/10.1186/s40902-019-0218-0
Dosage & Administration. BOTOX® Cosmetic (onabotulinumtoxinA). https://hcp.botoxcosmetic.com/product-information/dosage