ฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยใต้ตา แก้ปัญหารอยย่นได้จริงไหม เหมือนหรือแตกต่างจากฟิลเลอร์ใต้ตาอย่างไร?
“ฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตา” เป็นหัตถการเสริมความงามที่จะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตาเล็ก ๆ และรอยย่นใต้ตาให้จางลง หรือสามารถใช้รักษาริ้วรอยรอบดวงตาอย่างริ้วรอยหางตาได้ ในปัจจุบันนอกจากจะฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยใต้ตาแล้ว ยังมีอีกหลายหัตถการที่สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตา เช่น การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา การทำ Hifu ใต้ตา เป็นต้น แต่การฉีดโบท็อกซ์กับฉีดฟิลเลอร์เป็นสองหัตถการที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเรื่องความแตกต่างกันว่า ทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างไร?
ในบทความนี้ SkinX จะพามาทำความรู้จักกับฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยใต้ตาว่า คืออะไร ช่วยแก้ปัญหาใดได้บ้าง ควรฉีดกี่ยูนิต ราคาเท่าไร รวมถึงอธิบายความแตกต่างระหว่างการฉีดโบท็อกซ์กับฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
SkinX แอปพลิเคชันพบหมอผิวหนังออนไลน์ ที่รวบรวมเหล่าทีมแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำมากกว่า 210 คน มาให้คำปรึกษาโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาสิว ปัญหาผิวหน้า ปัญหาผมและหนังศีรษะ รวมไปถึงหัตถการความงามอย่าง ฉีดฟิลเลอร์ ฉีดโบท็อกซ์ สำหรับผู้ใช้บริการรายใหม่ สามารถปรึกษากับแพทย์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตา คืออะไร?
ฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยใต้ตาคือ การฉีดสาร Botulinum toxin A ที่เป็นสารสกัดจากแบคทีเรีย Clostridium botulinum ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท (Neurotoxin) ส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัวชั่วคราว เมื่อฉีดเข้าบริเวณริ้วรอยรอยใต้ตาหรือริ้วรอยรอบดวงตา จะสามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ หรือรอยย่นใต้ตา ให้จางลงได้
“ในปลายปี พ.ศ.2503 ในทางการแพทย์ได้มีการนำเอาโบท็อกซ์มาฉีดเพื่อรักษาผู้ป่วยเกี่ยวกับตาเป็นครั้งแรกคือ อาการตาเหล่ ต่อมาได้นำมาใช้รักษาโรคตากะพริบค้างสองข้าง ความผิดปกติของการเคลื่อนไหวลูกตา เป็นต้น”
อ่านบทความแบบเจาะลึกเกี่ยวกับโบท็อกซ์เพิ่มเติมได้ที่ : ทำความรู้จัก “โบท็อกซ์” หัตถการความสวย ที่ทำได้มากกว่าเสริมความงาม
โบท็อกซ์ลดริ้วรอยใต้ตาช่วยอะไรได้บ้าง?
การฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตาจะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตาเล็ก ๆ ริ้วรอยร่องตื้น รวมถึงรอยย่นใต้ตาให้จางลง โดยสาร Botulinum Toxin A จะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่งผลให้กล้ามเนื้อทำงานลดลงชั่วคราว ผิวจึงไม่เกิดการขยับ ทำให้สามารถช่วยลดริ้วรอยบริเวณใต้ตาได้ เมื่อฉีดแล้วผิวบริเวณใต้ตาจะรู้สึกตึงและเรียบเนียนขึ้น การฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยใต้ตาเหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยบาง ๆ ไม่ลึกมาก
นอกจากการฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตา ผู้คนยังนิยมฉีดโบลดริ้วรอยรอบดวงตาและใบหน้าอีกด้วย เช่น รอยย่นขมวดคิ้ว รอยย่นหน้าผาก รอยย่นที่สันจมูก เป็นต้น
สาเหตุของริ้วรอยใต้ตา เกิดจากอะไร?
ปัญหาริ้วรอยใต้ตาส่วนใหญ่มาจากคอลลาเจน อีลาสติน และไฮยาลูโรนิกในผิวลดลง ทำให้ผิวของเราเริ่มเสื่อมสภาพและหย่อนคล้อย โดยสาเหตุที่ก่อให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตามีดังนี้
รอยย่นใต้ตาที่เกิดจากอายุ
ปัญหาริ้วรอยใต้ตาโดยส่วนมากมักเกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมีสาเหตุมาจากการสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวบางลง ขาดความยืดหยุ่น โดยเฉพาะบริเวณหางตาและเปลือกตาจะเริ่มมีรอยตีนกา รวมถึงรอยย่นปรากฏขึ้น นอกจากนี้กระดูกใต้ตาจะมีการยุบตัวลง เนื้อน้อยลง ทำให้ผิวเริ่มหย่อนคล้อย และเกิดเป็นริ้วรอยใต้ตา
รอยย่นใต้ตาที่เกิดจากปัญหาสุขภาพ
ปัญหารอยย่นใต้ตาสามารถเกิดได้จากปัญหาสุขภาพอย่างโรคภูมิแพ้ได้ โดยปกติแล้วผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จะมีอาการคล้ำรอบดวงตาภายหลังจากการอักเสบ ร่วมกับอาการคันที่ตาและมีผื่นรอบดวงตา ผิวหนังจะมีลักษณะเป็นขุย ผิวหนังหนาตัวขึ้นหรือเห็นร่องผิวหนังชัดขึ้น ส่งผลให้เกิดการขยี้ตาบ่อย ๆ โดยพฤติกรรมนี้สามารถทำให้เกิดริ้วรอยตามมาด้วยเช่นกัน
รอยย่นใต้ตาที่เกิดจากพฤติกรรม
รอยย่นใต้ตาที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอยใต้ตาได้ง่ายขึ้น เช่น
- การแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการยิ้ม หัวเราะ ยักคิ้ว ย่นคิ้ว การกระทำเหล่านี้จะกระตุ้นกล้ามเนื้อให้ทำงานหนักขึ้น เมื่อทำบ่อย ๆ ผิวหนังบริเวณนั้นจะกลายเป็นริ้วรอย ปรากฏเป็นเส้นเล็ก ๆ เช่น รอยตีนกา รอยย่นใต้ตา
“กลไกการเกิดริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์บนใบหน้าคือ การที่เนื้อเยื่อบริเวณนั้น ๆ ถูกกดเป็นเวลานาน จนกระทั่งเนื้อเยื่อบริเวณนั้นถูกทำลายลงและไม่สามารถสร้างใหม่ได้เพียงพอ ทำให้เกิดเป็นริ้วรอยร่องลึกได้ในที่สุด”
- ความเครียด และพักผ่อนไม่เพียงพอ สามารถนำไปสู่รอยย่นและรอยคล้ำรอบดวงตาได้ หากปล่อยไว้ในระยะยาวจะส่งผลต่อผิวพรรณได้
- มลภาวะ แสงแดด เป็นปัจจัยที่สามารถทำให้ริ้วรอยใต้ตาได้ เพราะรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดเป็นตัวการที่ทำลายอีลาสตินและคอลลาเจนในผิวหนังให้เสื่อมสภาพเร็วขึ้น เมื่อผิวขาดความยืดหยุ่นก็จะเกิดเป็นริ้วรอยใต้ตาได้
- ผิวแห้ง สามารถเกิดริ้วรอยใต้ตาและรอยย่นใต้ตาได้มากกว่าผิวทั่วไป เนื่องจากคนที่มีผิวแห้งจะขาดความยืดหยุ่น ขาดความชุ่มชื้น
ฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยใต้ตาอันตรายไหม
โดยปกติแล้วการฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตาจะใช้แก้ปัญหาริ้วรอยเล็ก ๆ หรือริ้วรอยร่องตื้น หากฉีดโบท็อกซ์แท้ในปริมาณที่เหมาะสม และฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในคลินิกที่ได้มาตรฐานก็ไม่เป็นอันตราย แต่ข้อควรระวังในการฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยคือถ้าฉีดมากเกินไปอาจทำให้ตาแข็งได้
นอกจากนี้การฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตาบริเวณถุงใต้ตาเป็นบริเวณที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาหย่อนลง ผลลัพธ์ที่ได้จึงเกิดถุงใต้ตาเด่นชัดมากกว่าเดิมและตาปรือตลอดเวลา กะพริบตายากขึ้น ตาดูบวมหรือผิดรูปหากฉีดผิดตำแหน่ง
ดังนั้นก่อนตัดสินใจฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตาควรเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ เชี่ยวชาญในการฉีดโบท็อกซ์ รวมถึงเลือกใช้โบท็อกซ์แท้ คลินิกที่ได้มาตรฐานเพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยกับตนเองมากที่สุด
โบท็อกซ์ริ้วรอยใต้ตา แตกต่างจากฟิลเลอร์ใต้ตาอย่างไร
Filler กับ Botox ต่างกันอย่างไร? หลาย ๆ คนมักสงสัยถึงความแตกต่างระหว่าง การฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยใต้ตากับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาว่า มีความแตกต่างกันอย่างไร ผลลัพธ์หลังฉีดเหมือนกันไหม? ถึงแม้ว่าทั้ง 2 จะเป็นหัตถการเสริมความงามที่ฉีดในจุดใกล้เคียงกัน แต่จริง ๆ แล้วทั้งสองแตกต่างกัน ดังนี้
โบท็อกซ์ริ้วรอยใต้ตา | ฟิลเลอร์ใต้ตา |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
โบท็อกซ์จะช่วยลดริ้วรอยร่องตื้น
การฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยใต้ตาจะนิยมฉีดเพื่อลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ เหมาะกับริ้วรอยร่องตื้น รอยย่นเล็ก ๆ เช่น ริ้วรอยใต้ตา ริ้วรอยหางตา ให้ดูจางลง โดยสาร Botulinum Toxin จะไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท ส่งผลให้กล้ามเนื้อมีการทำงานลดลงชั่วคราว
ฟิลเลอร์จะช่วยลดริ้วรอยร่องลึก
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะเป็นการฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (สารเติมเต็มที่ผ่านอย.ไทย) เข้าไปบริเวณใต้ตา เพื่อเติมเต็มบริเวณใต้ตาที่เป็นร่องลึกให้ดูตื้นขึ้น ใต้ตาคล้ำและริ้วรอยดูจางลง โดยฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถใช้แก้ปัญหาถุงใต้ตา ริ้วรอยใต้ตา และผิวใต้ตาหย่อนคล้อยได้
ทั้ง 2 หัตถการสามารถใช้ลดริ้วรอยใต้ตาได้คล้าย ๆ กัน การฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยใต้ตาจะเหมาะกับริ้วรอยเล็ก ๆ เพื่อคลายกล้ามเนื้อชั่วคราวให้ริ้วรอยจางลง ในขณะที่ฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยเติมเต็มบริเวณผิวใต้ตาให้ตื้นขึ้น ริ้วรอยดูจางลง ผิวดูชุ่มชื้นขึ้น และยังสามารถแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำได้อีกด้วย
ทั้งนี้ก่อนการตัดสินใจทำหัตถการเกี่ยวกับใต้ตาควรให้หมอประเมินปัญหาก่อนทุกครั้ง เพื่อแนะนำหัตถการที่เหมาะสมกับปัญหาของคนไข้แต่ละบุคคล
โบท็อกซ์ลดริ้วรอยใต้ตาใช้กี่ยูนิต
ฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตาจะใช้ประมาณ 25 Units โดยแต่ละบุคคลจะใช้ปริมาณมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับปัญหาและความต้องการของแต่ละบุคคล รวมถึงการประเมินของแพทย์ร่วมด้วย ข้อควรระวังหากใช้จำนวนยูนิตโบท็อกซ์ใต้ตามากเกินไปอาจเกิดอาการตาแข็งได้
ฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยใต้ตากี่วันเห็นผล
ฉีดโบลดริ้วรอยกี่วันเห็นผล? หลังฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยใต้ตาจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 3-4 วัน และจะเริ่มเห็นผลประมาณ 1-2 อาทิตย์ โดยโบท็อกซ์ลดริ้วรอยจะคงผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน หลังจากนั้นตัวยาก็จะค่อย ๆ สลายไปเอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโบท็อกซ์ที่เลือกใช้ รวมถึงการปฏิบัติตัวหลังฉีดโบท็อกซ์ด้วย
หากต้องการคงผลลัพธ์ไว้ ควรเว้นการฉีดโบท็อกซ์ประมาณ 3 เดือน และไม่เว้นระยะห่างนานเกินไป (มากกว่า 6 เดือน) เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้อกลับมาทำงานได้ปกติ ที่สำคัญไม่ควรฉีดถี่ซ้ำเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดการดื้อโบท็อกซ์ได้
สำหรับฉีดโบท็อกซ์บริเวณอื่น ๆ กี่วันเห็นผล? สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : ฉีดโบท็อกซ์กี่วันเห็นผล ทำไมเห็นผลช้า และฉีดบอกโบท็อกซ์แล้วอยู่นานเท่าไหร่ ?
ฉีดโบลดริ้วรอยราคาเท่าไร?
การฉีดโบลดริ้วรอยในแต่ละบริเวณ รวมถึงฉีดลดริ้วรอยใต้ตาราคาจะแตกต่างกัน โดยฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตา 25 Units ราคาเริ่มต้น 3,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโบท็อกซ์ที่เลือกและจำนวนยูนิตที่ใช้ รวมถึงราคาแต่ละคลินิก โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินคนไข้แต่ละเคสว่าควรใช้จำนวนยูนิตเท่าไร เพื่อให้ผลลัพธ์หลังฉีดโบลดริ้วรอยออกมาดี และไม่มีผลข้างเคียง
ในกรณีที่ฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยใต้ตาไม่ถึง 1 ขวด 50 Units หรือ 1 ขวด 100 Units บางคลินิกจะแบ่งจากขวดที่เคยใช้แล้วมาเพื่อฉีดให้สำหรับคนที่ฉีดโบริ้วรอยเฉพาะจุด เพื่อป้องกันไม่ให้เจอโบท็อกซ์ปลอมหรือโบท็อกซ์ขาดคุณภาพ แพทย์จึงจะแนะนำให้ผู้ที่ฉีดซื้อแบบ 1 ขวด หรือที่เรียกกันว่า “เหมาขวด” ไปเลย เพราะจะได้มั่นใจว่าเปิดขวดใหม่ เป็นโบท็อกซ์แท้ และสามารถเช็กที่ตัวกล่องได้
วิธีปฏิบัติตัวหลังฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตา
วิธีการปฏิบัติตัวหลังฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยใต้ตาที่ถูกต้อง จะช่วยให้ผลลัพธ์หลังฉีดออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจ รวมถึงสามารถช่วยลดปัญหาแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดได้
- เมื่อฉีดโบท็อกซ์เสร็จในแต่ละบริเวณควรรีบขยับเกร็งกล้ามเนื้อ 1-2 ครั้ง
- ไม่ควรจับ ลูบ คลึง หรือเกาแรง ๆ บริเวณใต้ตาที่พึ่งฉีดโบท็อกซ์มา เพราะอาจทำให้ยากระจายตัวได้
- ไม่ควรนอนราบ นอนคว่ำ และก้มหัวต่ำกว่าอก ประมาณ 4 ชั่วโมงหลังฉีดโบท็อกซ์
- งดความร้อนและกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง ประมาณ 3 วันหลังฉีดโบท็อกซ์
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จะเพิ่มระบบการไหลเวียนของเลือด ประมาณ 3 วันหลังฉีดโบท็อกซ์
“มีงานวิจัยที่พบว่าการกินแร่ธาตุ Zinc 50 mg ก่อนและหลังฉีดโบท็อกซ์จะช่วยให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ไวขึ้น แต่ทั้งนี้ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์”
สรุป
การฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตาเป็นหัตถการเสริมความงามที่ใช้แก้ไขปัญหาริ้วรอยตื้น ๆ หรือรอยย่นเล็ก ๆ บาง ๆ บริเวณใต้ตาได้ นอกจากนี้การฉีดโบท็อกซ์ยังสามารถนำมาใช้ทางการแพทย์ได้อีกด้วย ทั้งนี้ก่อนเข้ารับการฉีดโบลดริ้วรอยใต้ตาควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อให้แพทย์ได้แนะนำและประเมินจำนวนยูนิตโบท็อกซ์ที่ต้องใช้ เพราะถ้าหากฉีดเยอะเกินไปอาจทำให้เกิดอาการตาแข็งได้
สำหรับผู้ที่ต้องการอยากปรึกษาเกี่ยวกับการฉีดโบท็อกลดริ้วรอยใต้ตาแต่ไม่สะดวกไปคลินิก สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน SkinX เพื่อปรึกษากับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังผ่านทางออนไลน์ได้เลย
สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการครั้งแรก ปรึกษากับแพทย์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
SkinX แอปฯ ปรึกษาหมอผิวหนังออนไลน์ ที่ได้รวบรวมเหล่าทีมแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำมาให้คำปรึกษาด้านผิวหนัง อาทิ ปัญหาสิว ชนิดผิวพรรณแต่ละประเภท ผมและหนังศีรษะ รวมถึงหัตถการความงาม อย่าง ฉีดฟิลเลอร์ ฉีดโบท็อกซ์
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
อารีรัตน์ สุพุทธิธาดา. (2555).การใช้โบทูลินัมทอกซินทางคลินิก (Clinical Use of Botulinum Toxin). เวชศาสตรฟื้นฟูสาร., 22(2), 38-41. https://www.rehabmed.or.th/main/wp-content/uploads/2014/03/L-338.pdf
Boyd K. (2022, April 20). Botulinum Toxin (Botox) for Facial Wrinkles. American Academy of ophthalmology. https://www.aao.org/eye-health/treatments/what-is-botox-facial-wrinkles