SkinX

GET-On the App Store

SkinX Team

10 กุมภาพันธ์ 2566

ฉีดฟิลเลอร์จมูก ดีกว่าผ่าตัดเสริมจมูกหรือไม่? เสี่ยงตาบอดจริงหรือ?

ฟิลเลอร์จมูก

ฟิลเลอร์จมูก เป็นหัตถการที่ช่วยเสริมจมูก ทำให้จมูกโด่ง จมูกเป็นสัน และปลายจมูกเชิดขึ้นได้โดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ในขณะเดียวกันการฉีดฟิลเลอร์จมูกก็เป็นการฉีดฟิลเลอร์ในตำแหน่งที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดด้วย แต่แล้วฟิลเลอร์จมูกคืออะไร มีความเสี่ยงอะไรบ้าง ดีกว่าการศัลยกรรมจมูกหรือไม่ ราคาเท่าไหร่ มีขั้นตอนการทำและการดูแลตนเองหลังทำอย่างไร? ในบทความนี้ SkinX มีคำตอบ

 

SkinX แอปพลิเคชันปรึกษาแพทย์ผิวหนัง ที่ทำให้คุณสามารถปรึกษาแพทย์ผิวหนังเกี่ยวกับเรื่องความสวยความงาม ปัญหาสิว ผิวพรรณ และโรคผิวหนังต่างๆ ได้ทุกที่ สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องรอคิว เพราะผิวดี ไม่ต้องรอ!

 

ดาวน์โหลด SkinX ตอนนี้ ปรึกษากับแพทย์ครั้งแรกได้ฟรี! ไม่เสียค่าใช้จ่าย

สารบัญบทความ

ฉีดฟิลเลอร์ (Filler) ฉีดฟิลเลอร์ที่จมูก คืออะไร?

ฟิลเลอร์จมูก (Nose Filler หรือในต่างประเทศจะเรียกว่า Non-Surgical Nose Job) คือการฉีดสารเติมเต็มเข้าสู่ใต้ผิวหนังในบริเวณจมูก เน้นการรักษาเพื่อปรับโครงจมูก ทั้งสร้างสันจมูก ปรับทรงปลายจมูกให้เชิดขึ้น หรือทำเป็นปลายจมูกรูปหยดน้ำที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในปัจจุบัน โดยสารที่ใช้ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อปรับทรงจมูกนี้ เป็นสารเติมเต็มที่ชื่อว่า “กรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic acid หรือ HA)”

 

ซึ่งสารเติมเต็มดังกล่าวเป็นสารที่มีอยู่ในผิวอยู่แล้ว ทำให้การฉีดจมูกด้วยกรดไฮยาลูรอนิคจึงค่อนข้างปลอดภัย เสี่ยงแพ้น้อย สารที่ฉีดสลายไปได้เองตามธรรมชาติ หรือสามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้หากผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร

 

นอกจากนี้ กรดไฮยาลูรอนิคยังทำหน้าที่กักเก็บน้ำ ทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดชุ่มชื้น อิ่มน้ำ และเรียบเนียนขึ้นได้อีกด้วย

 

“นอกจากกรดไฮยาลูรอนิคแล้ว สารเติมเต็มหรือ ‘Filler’ ยังมีสารสังเคราะตัวอื่นๆ ที่ใช้ฉีดเป็นฟิลเลอร์อีก เช่น โพลีอัลคิลลิไมด์ (Polyalkylimide), และโพลีเมทิลเมทาคริเลท (Polymethylmethacrylate หรือ PMMA) แต่ในปัจจุบันไม่นิยมใช้สารเหล่านี้ฉีดเป็นฟิลเลอร์แล้ว เนื่องจากสารเหล่านี้เป็นฟิลเลอร์ชนิดถาวร และชนิดกึ่งถาวร ทำให้ไม่สลายตัวไปหลังฉีด จึงเป็นอันตราย หากต้องการแก้ไขผลการรักษาจะต้องผ่าตัดขูดออก อีกทั้งสารเหล่านี้ยังไม่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของไทยอีกด้วย”

 

ฟิลเลอร์ ที่ใช้ฉีดเป็นฟิลเลอร์จมูก สามารถใช้ได้เพียงฟิลเลอร์ที่มีเนื้อค่อนข้างแน่น แข็ง ความคงตัวสูง ไม่ฟู ไม่ไหลง่าย เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์จมูกจะเป็นการฉีดเพื่อเลียนแบบกระดูก และกระดูกอ่อนที่เป็นฐานของทรงจมูก การเลือกฟิลเลอร์ที่เป็นเนื้อแข็งจะทำให้ได้ทรงจมูกที่เป็นธรรมชาติ จมูกหลังการรักษาเป็นทรงสวย ไม่ไหลไปที่เนื้อเยื่ออื่น

 

ซึ่งการเลือกฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีด แพทย์จะเป็นผู้เลือกให้ตามลักษณะเนื้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสม และตามงบประมาณที่ตั้งไว้ ตัวอย่างยี่ห้อฟิลเลอร์ที่สามารถฉีดได้ ผ่านการรับรองขององค์การอาหารและยาทั้งในไทยและสหรัฐอเมริกาแล้ว เช่น Juvederm, Belotero, Restylane, Neuramis, และ e.p.t.q. เป็นต้น

สาเหตุที่ต้องฉีดฟิลเลอร์จมูก

ฉีดฟิลเลอร์จมูก

การฉีดฟิลเลอร์จมูกมีจุดประสงค์หลักในการปรับรูปทรงจมูก ทั้งการทำสันจมูก ปรับจมูกที่เบี้ยว ปรับสันจมูกที่โก่งให้ตรงขึ้น เปลี่ยนรูปปลายจมูก ปรับจมูกให้สวย เข้ากับรูปหน้ามากขึ้น

 

ทั้งนี้ การฉีดฟิลเลอร์จมูกก็มีข้อจำกัดอยู่บ้าง ได้แก่

 

  1. อาจจะไม่สามารถทำตามแบบที่ผู้เข้ารับการรักษาต้องการได้ เนื่องจากฟิลเลอร์สามารถปรับทรงจมูกได้ประมาณหนึ่ง ไม่สามารถเปลี่ยนทรงที่ต่างจากเดิมมากเกินไปได้ ผลการรักษาจึงอาจไม่ตรงกับความต้องการของผู้เข้ารับการรักษา

  2. ผลการรักษาจะไม่อยู่อย่างถาวร เนื่องจากฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนิคจะหายไปเองภายในเวลาประมาณ 1 – 2 ปี ทำให้ผู้เข้ารับการรักษาต้องไปเติมฟิลเลอร์จมูกบ่อยๆ

  3. หากมีแผนจะผ่าตัดศัลยกรรมเสริมจมูกอยู่แล้ว ไม่แนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์จมูก เนื่องจากฟิลเลอร์อาจมีผลในการเกาะตัวกันของซิลิโคนกับเนื้อเยื่อ ทำให้ผู้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์จมูกมาก่อนการศัลยกรรมเสริมจมูก จะต้องขูดเนื้อเยื่อบางส่วนตามแนวที่ต้องการเสริมจมูกออกก่อนใส่ซิลิโคนเข้าไป

 

แล้วฉีดฟิลเลอร์จมูก กับผ่าตัดเสริมจมูก ต่างกันอย่างไร? อะไรดีกว่ากัน?

 

การฉีดฟิลเลอร์จมูกเป็นการฉีดสารเติมผิวเพื่อปรับทรงจมูก ในขณะที่การศัลยกรรมเสริมจมูกเป็นการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนทรงจมูก โดยการใส่วัสดุทางการแพทย์เข้าไปบริเวณสันจมูก ตัวอย่างวัสดุเสริมจมูก เช่น ซิลิโคน (Silicone), กอร์เท็กซ์ (Gore-tex), หรือกระดูกอ่อน จากร่างกายผู้เข้ารับการรักษาเอง ซึ่งมีข้อดีข้อเสียต่างกันดังนี้

 

 

 

การฉีดฟิลเลอร์จมูก

 

การศัลยกรรมเสริมจมูก

ประสิทธิภาพในการปรับทรงจมูก

 

ปรับทรงได้น้อย แต่ทรงที่ได้จะดูเป็นธรรมชาติ

เพราะอิงกับฐานจมูกเดิม

 

สามารถปรับทรงได้มากกว่าการฉีดฟิลเลอร์

ความรู้สึกเจ็บปวดจากการรักษา

 

เจ็บเล็กน้อยขณะฉีด

 

หลังยาชาและยาสลบหมดฤทธิ์จะเจ็บระบมมาก

ราคาการทำต่อครั้ง

 

ถูกกว่า

 

แพงกว่า

ระยะเวลาของผลการรักษา

 

อยู่ได้ประมาณ 1 – 2 ปี

 

อยู่ได้อย่างถาวร

ระยะเวลาที่ใช้ในการพักฟื้น

 

ประมาณ 1 สัปดาห์

 

ประมาณ 2 สัปดาห์

ระยะเวลาที่จมูกจะเข้ารูป

 

ประมาณ 2 สัปดาห์

 

ประมาณ 6 เดือน

จากตาราง จะเห็นว่าการฉีดเสริมจมูกด้วยฟิลเลอร์และการศัลยกรรมมีข้อดีและข้อเสียที่ต่างกัน หากถามว่าอะไรดีกว่ากัน อาจจะต้องตอบว่าแล้วแต่กรณี เนื่องจากความต้องการ และพื้นฐานจมูกเดิมของผู้เข้ารับการรักษาแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากต้องการเปลี่ยนทรงจมูกที่ต่างจากเดิมมาก หรือไม่มีเวลาดูแลตัวเองมากนัก แพทย์จะแนะนำให้ทำจมูกไปเลย ทำรอบเดียวได้ผลที่ถาวร ทั้งยังทำให้ได้ทรงจมูกตามที่ต้องการได้มากกว่าแต่ถ้ากลัวเจ็บ ไม่กล้าผ่าตัด หรือไม่มีเวลาพักฟื้นนานเป็นเดือน แพทย์จะแนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์ไปก่อน อาจจะแนะนำให้ร้อยไหมยกทรงจมูก หรือแนะนำให้ทำทั้งสองอย่างร่วมกัน เนื่องจากการร้อยไหมและฉีดฟิลเลอร์ไม่ต้องพักฟื้นนาน ใช้เวลาในการทำน้อยกว่า และเจ็บน้อยกว่าด้วย

 

“ร้อยไหมคืออะไร? การร้อยไหมคือการใช้ไหมละลายที่มีปลายเป็นตะขอ ร้อยเข้าไปใต้ผิวหนัง โดยตะขอจะดึงเนื้อเยื่อให้ยกขึ้นการร้อยไหมจมูกสามารถทำให้จมูกโด่ง ปลายจมูกยกขึ้นได้ ผลการรักษาจากการร้อยไหมจะอยู่ได้ประมาณ 6 – 18 เดือนก่อนที่ไหมจะสลายไปเหมือนกับฟิลเลอร์จมูก แต่ไหมละลายไม่สามารถฉีดสลายได้เหมือนฟิลเลอร์ ทำให้แก้ไขผลการรักษาได้ยากกว่า”

ฉีดฟิลเลอร์จมูกช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

  • ปรับทรงจมูก ฉีดจมูกโด่ง ให้จมูกเป็นสันตรงสวย

  • ปรับปลายจมูกให้ดูยกขึ้น เชิดขึ้นหรือทำปลายจมูกรูปหยดน้ำ ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ปลายจมูก

  • ปรับฮัมพ์ (Hump) ให้เรียบ โดยไม่ต้องตะไบกระดูก ทำให้สันจมูกตรงสวยได้โดยไม่ต้องผ่าตัด

  • แก้ไขจมูกเบี้ยวจากการผ่าตัดศัลยกรรม หรืออุบัติเหตุ

  • ปรับทรงจมูกให้เข้ากับใบหน้ามากขึ้น 

  • ปรับทรงจมูกให้ตรงตามหลักโหงวเฮ้ง

 

“ฮัมพ์ (Hump) คือส่วนรอยต่อกระดูกระหว่างกระดูกแข็ง และกระดูกอ่อนบริเวณสันจมูก ผู้ที่มีเชื้อสายทางตะวันตก หรือตะวันออกกลางมักจะมีฮัมพ์นูนขึ้นมา ทำให้สันดั้งจมูกปูดโค้งขึ้นมาเหมือนเป็นตุ่ม ผู้เข้ารับการรักษาบางรายจึงอยากตะไบกระดูกในส่วนนี้ออกเพื่อให้สันจมูกคมและตรงขึ้น แต่การฉีดฟิลเลอร์จมูก สามารถฉีดเพื่อยกผิวหนังส่วนอื่นๆขึ้น ทำให้ฮัมพ์มองเห็นไม่ชัดเท่าเดิมได้ เป็นการแก้ไขฮัมพ์โดยไม่ต้องผ่าตัด”

ฉีดฟิลเลอร์แก้ฮัมพ์

ฉีดฟิลเลอร์จมูกอันตรายจริงหรือ?

จริงๆ แล้ว ฟิลเลอร์จมูกเป็นหัตถการที่อันตรายกว่าการฉีดฟิลเลอร์ในส่วนอื่นๆ เนื่องจากจมูกเป็นพื้นที่ที่เส้นเลือดแดงสำคัญบนใบหน้าวางตัวอยู่หลายเส้น ทำให้สามารถเกิดข้อผิดพลาดได้ง่ายหากแพทย์ไม่ชำนาญ

 

หากแพทย์ที่ฉีดไม่มีประสบการณ์มากพอ อาจทำให้เกิดอาการช้ำจากเส้นเลือดเสียหาย ฟิลเลอร์ย้อนเข้าเส้นเลือดจนเกิดการอุดตัน ทำให้เกิดเนื้อตายหรือทำให้ตาบอดได้เลย

 

เส้นเลือดแดงเส้นสำคัญที่ชื่อ Dorsal nasal a. เป็นเส้นเลือดแดงที่จะนำเลือดไปหล่อเลี้ยงดวงตา ซึ่งเส้นเลือดดังกล่าวจะอยู่ใต้ผิวหนังตั้งแต่บริเวณหัวตา หว่างคิ้ว ลงมาจนถึงบริเวณใกล้ปลายจมูก ทำให้หลีกเลี่ยงได้ยากเมื่อฉีดฟิลเลอร์ หากเกิดข้อผิดพลาดจนฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือดดังกล่าว จะทำให้ตาบอดได้

 

แม้ความเสี่ยงตาบอดจากการฉีดฟิลเลอร์จมูกจะมีมากกว่าการฉีดฟิลเลอร์ในตำแหน่งอื่นๆ แต่จากสถิติพบว่าเคสผู้ป่วยสูญเสียการมองเห็นจากการฉีดฟิลเลอร์จมูกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีน้อยกว่า 0.08% และลดลงเรื่อยๆ เมื่อการแพทย์พัฒนาขึ้น

 

นอกจากนี้ แพทย์จะมีนัดติดตามผลหลังการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงอันตรายหลังการฉีดฟิลเลอร์จมูก ทำให้แม้ฟิลเลอร์จะอุดตันเส้นเลือดหลังการฉีด แพทย์ก็จะสามารถรักษาให้ได้ทันก่อนที่จะเกิดเนื้อตายหรือสูญเสียการมองเห็นนั่นเอง

ราคาการฉีดฟิลเลอร์จมูก

ฉีดฟิลเลอร์จมูกราคาเท่าไหร่? ฉีดจมูกราคาจะแตกต่างกันไปตามยี่ห้อฟิลเลอร์ รุ่นของฟิลเลอร์ที่แพทย์เลือกใช้ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องฉีด และค่าบริการทางการแพทย์ของสถานพยาบาลแต่ละแห่ง โดยฟิลเลอร์จมูกไม่ควรฉีดเกิน 1 cc ราคาฟิลเลอร์โดยทั่วไปก็จะอยู่ที่ cc ละ 6,000 – 20,000 บาท ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ยี่ห้อนั้นๆ

ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ที่จมูก?

  • ผู้ที่ไม่มั่นใจในรูปทรงจมูกของตนเอง จมูกโด่งแต่ไม่มีดั้ง จมูกไม่โด่ง ไม่มีสันจมูก ปลายจมูกไม่ได้รูป ต้องการแก้ไขให้จมูกได้รูปสวยมากขึ้น

  • ผู้ที่จมูกผิดรูปจากการผ่าตัด พันธุกรรม หรืออุบัติเหตุ

  • ผู้ที่ต้องการปรับทรงจมูกเพื่อแก้ไขโหงวเฮ้ง

  • ผู้ที่ไม่ต้องการศัลยกรรมเสริมจมูกในอนาคต

  • ผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้นมากพอที่จะทำศัลยกรรมเสริมจมูก

  • ผู้ที่ไม่ได้กำลังตั้งครรภ์ หรือผิวหนังอักเสบบริเวณจมูกหรือใกล้ๆ จมูก

  • ผู้ที่ไม่ได้กำลังเป็นโรคเริม หรืองูสวัด

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์จมูก

การเตรียมตัวก่อนการฉีดฟิลเลอร์จมูก

  1. พูดคุยและประเมินลักษณะของจมูก พร้อมทั้งพูดคุยถึงความต้องการของผู้เข้ารับการรักษา ว่าสามารถทำได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์จมูกหรือไม่ ถ้าไม่ได้ควรแก้ไขอย่างไร หากแพทย์เห็นว่าสามารถทำฟิลเลอร์จมูกได้ ก็จะพูดคุยถึงขั้นตอนการทำ ปริมาณที่ต้องฉีด เลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ตามรุ่นที่แพทย์แนะนำ จากนั้นจะนัดวันมาฉีดฟิลเลอร์จมูก หรือหากร่างกายพร้อมก็สามารถฉีดฟิลเลอร์ในวันดังกล่าวได้เลยเช่นกัน

  2. แจ้งประวัติการใช้ยา โรคประจำตัว และการตั้งครรภ์กับแพทย์ก่อนการฉีดฟิลเลอร์จมูกทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้ารับการรักษาเอง

  3. ก่อนการฉีดฟิลเลอร์จมูก 1 สัปดาห์ ควรงดยาทาที่มีผลต่อการผลัดเซลล์ผิวที่จมูก และรอบๆ จมูก หยุดยา อาหารเสริม หรือสมุนไพรที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด พร้อมทั้งยาแก้ปวดทั้งแอสไพรินและ NSAIDS หากเป็นยาที่แพทย์จ่ายให้ทานประจำ ควรปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้ก่อนหยุดยา

  4. ก่อนการฉีดฟิลเลอร์จมูก 2 – 3 วัน ให้งดอาหารรสจัด โดยเฉพาะอาหารที่มีรสเค็มเพราะมีผลกับระบบหมุนเวียนโลหิต

  5. ก่อนการฉีดฟิลเลอร์จมูก 24 ชั่วโมง ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด งดการสูบบุหรี่ และงดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่นการออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่

 

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์จมูก

  1. แพทย์จะฆ่าเชื้อในบริเวณจมูก หรือเฉพาะในบริเวณที่จะฉีดและบริเวณรอบๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

  2. ในกรณีที่ไม่แพ้ยาชา แพทย์จะใช้ยาชาเฉพาะที่ในบริเวณที่จะฉีด ส่วนใหญ่จะเป็นยาชาแบบทา หรือหากไม่ต้องการใช้ยาชาก็สามารถแจ้งแพทย์ได้เช่นกัน หลังจากใช้ยาชาแล้วจะทิ้งไว้ 15 – 30 นาที รอให้ยาชาออกฤทธิ์

  3. ฉีดฟิลเลอร์จมูกในตำแหน่งที่แพทย์ประเมินแล้วว่าจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดี ในขณะที่ฉีด แพทย์จะบีบกดบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์จมูกไปด้วย เพื่อปั้นทรงให้ได้รูปจมูกตามที่ต้องการ

  4. แพทย์จะทำความสะอาดแผลอีกครั้ง ไม่ต้องเย็บแผล เพราะแผลจากการฉีดฟิลเลอร์จมูกมีขนาดเล็กมาก แพทย์จะปิดปลาสเตอร์ขนาดเล็กไว้ให้เพื่อห้ามเลือด

  5. หากแพทย์เห็นว่าตำแหน่งที่ฉีดเสี่ยงเกิดอาการบวม แพทย์จะให้ประคบน้ำแข็ง แต่ไม่ควรประคบเอง เนื่องจากอุณหภูมิมีผลต่อการเซ็ตตัวของฟิลเลอร์ อีกทั้งการประคบน้ำแข็งอาจจะเผลอกดแรงจนฟิลเลอร์ผิดทรง หรือเคลื่อนไปที่เนื้อเยื่ออื่นได้ ส่งผลให้ผลการรักษาออกมาไม่ดีเท่าที่ควร

ขั้นตอนการปฏิบัติตัวหลังฉีด

หลังฉีดฟิลเลอร์จมูก มีข้อควรปฏิบัติดังนี้

1. ช่วง 2 – 3 วันหลังฉีดฟิลเลอร์จมูก

a. หลีกเลี่ยงการจับบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์จมูกโดยไม่จำเป็น ไม่ควรกด นวด เพราะจะทำให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวยาก ฟิลเลอร์เคลื่อน และอาจทำให้ผิวช้ำได้

b. ไม่ควรถูกแสงแดด เนื่องจากผิวจะไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าปกติ อีกทั้งอุณหภูมิกลางแจ้งยังมีผลต่อการเซ็ตตัวของฟิลเลอร์ด้วย

c. ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพราะมีผลกับระบบเลือด อาจทำให้บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์จมูก อักเสบ และหายช้า

d. นอนหมอนสูงให้ศีรษะสูงกว่าลำตัว ควรนอนหงาย ไม่ควรนอนคว่ำหรือนอนตะแคง เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์ผิดรูปได้

2. ช่วง 4 – 5 วันหลังฉีดฟิลเลอร์จมูก ควรดื่มน้ำสะอาดประมาณ 1-2 ลิตรต่อวัน

3. ช่วง 1 อาทิตย์หลังจากฉีดฟิลเลอร์จมูก

a. ยังไม่ควรใช้ยา อาหารเสริม หรือสมุนไพร ที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด รวมทั้งยังไม่ควรออกกำลังกายจนเลือดสูบฉีดมากกว่าปกติ เพราะจะทำให้แผลหายช้า

b. ไม่ควรทานอาหารสุกดิบ และนมวัว เพราะทำให้แผลเสี่ยงติดเชื้อ

c. ไม่ควรทานอาหารรสจัดและอาหารหมักดอง เพราะจะไปกระตุ้นการอักเสบ

 

4. ช่วง 1 เดือนหลังฉีดฟิลเลอร์จมูก ไม่ควรทำเลเซอร์ทุกชนิด เพราะจะทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วกว่าที่ควรเป็น

 

5. ไม่ควรอยู่ในที่ร้อน เช่นห้องซาวน่า หรือร้านอาหารที่มีเตาร้อน เนื่องจากความร้อนจะทำให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวผิดปกติ และสลายได้ไว

 

หากดูแลตนเองตามข้อปฏิบัติดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ผลการรักษาออกมาดี โอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยลง และยังทำให้ฟิลเลอร์สลายได้ช้าลงอีกด้วย

 

นอกจากฟิลเลอร์จมูกแล้ว ยังมีการฉีดฟิลเลอร์หน้าในตำแหน่งอื่นๆ อีก ได้แก่

  • ฟิลเลอร์ปาก

  • ฟิลเลอร์ใต้ตา

  • ฟิลเลอร์ขมับ

  • ฟิลเลอร์คาง

  • ฟิลเลอร์หน้าผาก

  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

ผลข้างเคียงที่อาจพบได้

ฉีดฟิลเลอร์จมูกรีวิว
  • อาการเจ็บปวดที่บริเวณจมูก หรือความรู้สึกแสบคัน เป็นผลข้างเคียงที่ไม่อันตราย สามารถหายไปเองได้หลังการฉีดฟิลเลอร์จมูกประมาณ 12 – 24 ชั่วโมง

  • อาการบวม แดง ช้ำ อาจเกิดขึ้นกับผู้เข้ารับการรักษาบางราย อาการดังกล่าวอาจเป็นมากในช่วง 2 – 3 วันแรก และจะหายไปเองภายใน 2 สัปดาห์ หากพ้นเวลาไปแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการเจ็บปวดมากร่วมด้วย ควรรีบพบแพทย์เนื่องจากอาจเกิดการอักเสบขึ้นได้

  • ฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือด จนส่งผลให้เกิดเนื้อตายหรือตาบอด

  • การติดเชื้อในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์จมูก

  • อาการแพ้ฟิลเลอร์

  • อาการแพ้ยาชาจากการฉีดฟิลเลอร์จมูก

  • ฟิลเลอร์ไหลเข้าสู่เนื้อเยื่อในบริเวณที่ไม่ต้องการ ทำให้ผลการรักษาออกมาไม่ดี

  • จมูกไม่ขึ้นทรง จากการใช้ฟิลเลอร์ที่เหลวเกินไป

 

ทั้งนี้ โอกาสเกิดผลข้างเคียงดังกล่าวจะลดลงได้ หากผู้เข้ารับการรักษาศึกษาเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์จมูกมาก่อนการรักษา ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง รวมทั้งเลือกสถานพยาบาลได้มาตรฐาน และเลือกแพทย์ที่เชี่ยวชาญจริง ดำเนินการฉีดฟิลเลอร์จมูกเองในทุกขึ้นตอน

คำถามที่พบบ่อย

ฉีดฟิลเลอร์จมูกดีมั้ย

สำหรับผู้ที่สนใจปรับรูปจมูก อยากมีทรงจมูกที่สวยขึ้น อยากได้ทรงจมูกที่ดูเป็นธรรมชาติมากๆ และไม่ได้อยากทำศัลยกรรมจมูก การฉีดฟิลเลอร์จมูกก็จะเป็นทางเลือกที่ดีมาก หากยังไม่มั่นใจก็สามารถปรึกษากับแพทย์ผิวหนังก่อนได้ ว่าทรงจมูกใหม่ที่อยากได้ สามารถแก้ไขด้วยหัตถการใดได้บ้าง แต่ละวิธีการมีข้อดีข้อเสียอย่างไร เพื่อเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจทำจมูกต่อไป

 

ฉีดฟิลเลอร์ที่จมูกเจ็บไหม

ฉีดฟิลเลอร์จมูกจะรู้สึกเจ็บตึงๆ เล็กน้อย เนื่องจากมีการใช้ยาชา ทำให้ไม่เจ็บมากอย่างที่คิด อีกทั้งฟิลเลอร์บางยี่ห้อ อย่าง Juvederm ยังผสมยาชาลงในเนื้อฟิลเลอร์ด้วย ทำให้ขณะฉีดและหลังฉีดรู้สึกเจ็บน้อยลง

 

ฉีดฟิลเลอร์ที่จมูกอยู่ถาวรไหม

ฟิลเลอร์ที่จมูกจะไม่อยู่ถาวร เนื่องจากฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนิคเป็นฟิลเลอร์ที่สลายตัวได้เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1 – 2 ปี ทำให้จมูกค่อยๆยุบลง และกลับมาเป็นทรงเดิมในที่สุด ผู้ที่สนใจฉีดเฟิลเลอร์จมูกอาจจะต้องไปเติมฟิลเลอร์ทุกๆปี หรือหากอยากให้ผลการรักษาอยู่อย่างถาวร ก็จะต้องทำศัลยกรรมเสริมจมูกแทน

 

ฟิลเลอร์ที่จมูกจะสลายไปเองไหม

ฟิลเลอร์ที่จมูกจะสลายไปเองได้ โดยที่ไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ เนื่องจากร่างกายเราสามารถสลายกรดไฮยาลูรอนิคได้เป็นปกติอยู่แล้ว ทำให้ฟิลเลอร์จมูกสามารถสลายไปเองได้โดยไม่ทำให้เกิดอันตรายนั่นเอง

สรุป

นอกจากฟิลเลอร์จมูกแล้ว การแก้ทรงจมูกยังมีทางเลือกอีกมากมาย ผู้ที่สนใจควรศึกษาหาข้อมูล และปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนการตัดสินใจทำ เพื่อให้แพทย์ประเมินก่อนว่าทรงจมูกที่ต้องการทำสามารถแก้ไขด้วยวิธีการใดได้บ้าง แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียอย่างไร ให้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจต่อไป

 

ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์จมูก การทำจมูก หรือปัญหาเกี่ยวกับความสวยความงาม และปัญหาผิวหนังในด้านอื่นๆ สามารถปรึกษากับแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญกว่า 210 ท่านได้ง่ายๆ ผ่านทางแอปพลิเคชัน SkinX เพียงดาวน์โหลด และลงทะเบียน ก็สามารถเลือกปรึกษาแพทย์ในครั้งแรกได้ฟรี! ดาวน์โหลดและปรึกษาได้เลยตอนนี้ เพราะผิวดี ไม่ต้องรอ!

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก

 

DeVictor, S., Ong, A. A., & Sherris, D. A. (2021, February 16). Complications Secondary to
        Nonsurgical Rhinoplasty: A Systematic Review and Meta-analysis. National Library of
        Medicine. https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/33588622/#:~:text=The%20most%20comm
        only%20reported%20complications,reports%20of%20infection%20(0.07%25).

 

Chen, Q., Liu, Y., & Fan, D. (2016, April 21). Serious Vascular Complications after Nonsurgical
        Rhinoplasty: A Case Report. National Library of Medicine. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/
        articles/PMC4859242/

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น ใช้งานครั้งแรกปรึกษาฟรี
Tips & Tricks
สาระน่ารู้และข่าวประชาสัมพันธ์

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ สามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า