ทำความรู้จัก “เลเซอร์หน้าใส” ช่วยแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ
หลายคนอาจเคยประสบปัญหาใบหน้าหมองคล้ำ รอยสิว หลุมสิว หรือรูขุมขนกว้าง โดยที่กังวลว่าปัญหาเหล่านี้จะรักษาได้ยากจึงทำให้หมดความมั่นใจในภาพลักษณ์ของตนเองได้ แต่นวัตกรรม “เลเซอร์หน้าใส” สามารถช่วยทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้น ลดรอยดำรอยแดง รวมถึงทำให้ผิวเรียบเนียนอีกด้วย
เลเซอร์หน้าใสเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเรื่องปัญหาผิวหมองคล้ำได้ในเวลาที่รวดเร็วกว่าการใช้ครีมบำรุงในระยะยาว จึงทำให้ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ที่ต้องการจัดการกับปัญหาผิวในทันทีโดยที่เห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน
อาจยังมีข้อสงสัยว่าเลเซอร์หน้าใสดีไหม? บทความนี้ SkinX รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเลเซอร์หน้าแบบเจาะลึกถึงข้อมูล ประเภท ผลลัพธ์จากการทำว่าคุ้มที่จะตัดสินใจทำหรือไม่
SkinX แอปพลิเคชันสำหรับการพบหมอผิวหนังออนไลน์ ซึ่งรวบรวมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังกว่า 210 คนจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำที่พร้อมให้คำปรึกษาโดยที่ผู้ใช้งานไม่ต้องรอ สำหรับผู้ใช้งานใหม่สามารถรับคำปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางครั้งแรกโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
เลเซอร์หน้าใสคืออะไร?
เลเซอร์หน้าใส คือนวัตกรรมทางความงามที่ใช้การปล่อยพลังงานเลเซอร์ลงบนผิวเพื่อจับกับเม็ดสีหรือเมลานิน (Melanin) เพื่อย่นระยะเวลาผลัดเซลล์เม็ดสีเก่าและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ทำให้ผิวบริเวณที่ทำนั้นกระจ่างใสยิ่งขึ้น
ปัจจุบันมีการเลือกใช้เลเซอร์หลากหลายแบบในการทำเลเซอร์หน้า โดยแต่ละแบบก็มีข้อดีเพิ่มเติมแตกต่างกันออกไป ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อที่จะสามารถเลือกเลเซอร์ที่เหมาะสมสำหรับผิวของตนเองมากที่สุด
ประโยชน์ของเลเซอร์หน้าใสมีอะไรบ้าง? ดีอย่างไร?
นอกเหนือจากที่เลเซอร์หน้าใสจะสามารถช่วยให้ผิวกระจ่างใสมากขึ้นแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการรักษาปัญหาผิวอื่นๆ ได้ เช่น
- ลดรอยดำและรอยแดงจากสิว
- ช่วยปรับให้สีผิวสม่ำเสมอกัน เช่น ทำให้รอยจากแผลเป็นจางลง หรือ ลดรอยฝ้าและกระ เป็นต้น
- กระชับรูขุมขนให้เล็กลง
- ลดเลือนริ้วรอยบางๆ บนใบหน้า
- ช่วยให้หลุมสิวหรือแผลจากสิวตื้นขึ้น
โดยปกติแล้ว เซลล์ผิวจะผลัดเป็นปกติทุกๆ 4-6 สัปดาห์ แต่เลเซอร์หน้าสามารถช่วยย่นระยะเวลาในการผลัดเซลล์ผิวให้เร็วขึ้น ทำให้ผิวกระจ่างใส ไม่หมองคล้ำ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ในการดูแลผิวอย่างรวดเร็ว
สาเหตุที่ทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ
การที่ผิวหน้าหมองคล้ำอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน โดยสาเหตุหลักๆ อาจเป็นดังนี้
- การโดนแสงแดด เนื่องจากในแสงแดดมี UVA ที่มีส่วนทำให้เกิดฝ้า กระ และ UVB ซึ่งอาจทำให้ผิวไหม้แดดได้
- มลภาวะ มีส่วนในการทำให้ผิวเสีย เช่น การโดนควันหรือฝุ่นก็สามารถทำให้ผิวแห้ง ขาดน้ำ และหมองคล้ำ เป็นต้น
- การดื่มน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ผิวขาดน้ำ แห้งกร้าน
- การพักผ่อนไม่พอ หากนอนพักผ่อนไม่เพียงพอหรือไม่เป็นเวลาก็สามารถทำให้ฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ผลิตมาไม่เพียงพอต่อการช่วยซ่อมแซมผิว
- รอยสิว หลุมสิว แผลเป็น สิ่งเหล่านี้ทำให้ผิวบนใบหน้าไม่เรียบเนียนและสีไม่สม่ำเสมอกัน
- การสูบบุหรี่ สารคาร์บอนมอนอกไซด์และทาร์ในบุหรี่ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระมากขึ้น ส่งผลให้เม็ดเลือดสร้างได้แย่ลง การผลัดเซลล์ผิวไม่เป็นไปตามปกติ รวมถึงคอลลาเจนในผิวยังถูกทำลายด้วย
จากสาเหตุข้างต้น ผิวหน้าจึงถูกรบกวนและทำให้เกิดเป็นความหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ และสาเหตุเช่น รอยสิว ฝ้า หรือกระ ก็สามารถรักษาด้วยการเลเซอร์หน้าได้ แต่สาเหตุอย่างการสูบบุหรี่ การดื่มน้ำหรือพักผ่อนไม่เพียงพอนั้น ต้องแก้ไขโดยการดูแลตนเองต่อไป
หากต้องการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องข้างต้นเพิ่มเติม สามารถอ่านต่อได้ที่ : หน้าหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ ทำยังไงดี? ปัญหากวนใจที่แก้ไม่ยาก!
ใครเหมาะกับการทำเลเซอร์หน้าใสบ้าง?
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
- ผู้ที่มีรอยดำ รอยแดงจากสิว ฝ้า กระ หรือเส้นเลือดขอดบางๆ
- ผู้ที่มีรูขุมขนกว้างหรือหลุมสิว
- ผู้ที่ขาดการบำรุงดูแลผิว
- ผู้ที่ต้องการเสริมสร้างความมั่นใจจากปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ
แต่ผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาผิวเหมือนข้างต้นก็สามารถเข้ารับบริการเลเซอร์หน้าใสได้หากต้องการให้ผิวกระจ่างใสมากขึ้น หรือรู้สึกว่าผิวหมองคล้ำกว่าแต่ก่อน ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจรักษาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตรงตามที่ต้องการ
แต่สำหรับผู้ที่มีรอยฝ้ากระฝังลึกอาจคิดว่าทำเลเซอร์หน้าใสดีไหม? ช่วยได้มากหรือไม่? ต้องบอกว่าเลเซอร์หน้าใสไม่สามารถช่วยรอยกระฝังลึกได้ หากต้องการรักษารอยกระฝังลึก สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : เลเซอร์กระ
ใครที่ควรหลีกเลี่ยงทำเลเซอร์หน้าใส?
การทำเลเซอร์หน้าใสเป็นการยิงพลังงานเลเซอร์ลงบนผิวหน้าเพื่อจับเม็ดสีและกระตุ้นในการผลัดเซลล์ผิวจึงช่วยในการทำให้ผิวกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงอาจไม่เหมาะกับบุคคลที่อยู่ใน 3 กลุ่มหลักดังต่อไปนี้
- สตรีมีครรภ์หรือผู้ที่ต้องให้นมบุตร เนื่องจากพลังงานเลเซอร์อาจส่งผลต่อสุขภาพมารดาและบุตร
- ผู้ที่อยู่ในกลุ่มผู้ป่วยโรคผิวหนัง เช่น โรคผิวหนังอักเสบหรือติดเชื้อ ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นต้น หรือผู้ที่มีแผลสด แผลผ่าตัดที่ยังไม่ครบ 6 เดือน
- ผู้ที่มีสิวอักเสบ หรือสิวหนอง ควรรับการรักษาก่อนทำเลเซอร์หน้า
โดยผู้ที่เป็นโรคผิวหนังบางประเภทหรือเป็นสิวอาจต้องทายาที่ส่งผลให้ผิวหนังบาง ซึ่งทำให้เกิดอาการผิวด่างจากการทำเลเซอร์หน้าใสได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีโรคประจำตัวหรืออยู่ในกลุ่มดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อที่จะสามารถวินิจฉัยและรับการรักษาในวิธีที่เหมาะสมกับตนเองต่อไป
เลเซอร์หน้าใสมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร?
ข้อดีของการทำเลเซอร์หน้าใส เช่น
- ผิวกระจ่างใสขึ้นในระยะเวลาไม่นาน
- ช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย ทั้งสีผิวไม่สม่ำเสมอ รอยสิว และกระชับรูขุมขน
- ไม่ต้องพักฟื้นหลังจากทำ
- กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียน
ข้อเสียของการทำเลเซอร์หน้าใส เช่น
- อาจทำให้ผิวหน้าเกิดอาการบวมแดงในระยะเวลาหนึ่ง
- มีความรู้สึกเจ็บระหว่างทำ
- ผิวหน้าจะมีความไวต่อแดดหลังจากทำเลเซอร์หน้าใส
- จำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
ทั้งนี้ ข้อดีและข้อเสียที่จะได้รับนั้นขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล รวมถึงประเภทของเลเซอร์หน้าที่ใช้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการตัดสินใจเข้ารับบริการ
เลเซอร์หน้าใสมีกี่ประเภท?
ในปัจจุบัน มีการใช้เลเซอร์ในการทำเลเซอร์หน้าใสหลายหลายประเภท โดยหลักๆ มีการใช้อยู่ 5 ประเภท ได้แก่
- IPL
ความจริงแล้ว IPL ไม่ใช่พลังงานเลเซอร์แต่เป็นคลื่นแสงความเข้มข้นสูง หรือ Intense Pulsed Light ที่ช่วยในการจับเม็ดสีในชั้นผิว ทำให้ผิวมีความกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น
IPL มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 515-1,200 nm ทำให้สามารถกระจายพลังงานแสงได้มากกว่าเลเซอร์และรักษาผิวในชั้นหนังแท้ (Dermis) โดยไม่ทำร้ายผิวชั้นหนังกำพร้า (Epidermis)
- Q-Switch Laser
ชื่อเต็มของเลเซอร์ชนิดนี้ก็คือ Q-switch ND:YAG Laser เป็นเลเซอร์ที่สามารถสลายเม็ดสีในผิวชั้นหนังแท้ได้ รวมถึงยังช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิวอีกด้วย
เลเซอร์ชนิดนี้มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 532 และ 1,064 nm โดยความยาวคลื่น 532 nm จะลงถึงในผิวชั้นตื้น เน้นการลบรอยปานแดงหรือรอยสักปาก ส่วนความยาวคลื่น 1,064 nm จะลงถึงในชั้นหนังแท้ นิยมในการรักษาแผลเป็น ลบรอยสักสีเข้มได้ ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้ออกแบบและปรับพลังงานเพื่อหวังเป้าหมายที่แตกต่างกัน
“นอกจากการใช้ Q-Switch ND:YAG Laser ในการทำเลเซอร์หน้าใสแล้ว ยังมีการใช้เลเซอร์ ER:YAG และ ND:YAG ในพลังงานต่ำเพื่อใช้กระตุ้นการสร้างเส้นเลือดให้ไปเลี้ยงรากผม ทำให้ผมแข็งแรงขึ้น ไม่ร่วงง่าย”
- Fractional CO2 Laser
นวัตกรรมเลเซอร์หน้าที่มีส่วนช่วยในการทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น ทำงานโดยการยิงพลังงานเพื่อสร้างรอยแผลในผิวหนังเป็นรูแผลขนาดเล็กๆ เพื่อให้ผิวหนังเกิดการกระตุ้นให้สร้าและผลัดเซลล์ผิวใหม่ เหมาะสำหรับรอยหลุมสิว กระชับรูขุมขน ลดริ้วรอยผิวหนังชั้นบน
Fractional CO2 Laser คือ CO2 Laser ที่เปลี่ยนหัวยิงพลังงานจากการตัดเนื้อเยื่อเป็นลำแสงขนาดเล็กลง มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 10,600 nm ซึ่งหากเป็นการใช้หัวยิงแบบตัดเนื้อเยื่อจะสามารถช่วยในการกำจัดไฝ ขี้แมลงวัน กระเนื้อได้อีกด้วย
- E-Matrix
เทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูงที่ลงแบบแบ่งส่วน (Fractional Radiofrequency) ซึ่งช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวกระจ่างใสขึ้น รวมถึงยังสามารถช่วยแก้ปัญหาหลุมสิว ริ้วรอยบางๆ และกระชับรูขุมขนร่วมด้วย
การรักษาด้วย E-Matrix ช่วยลดการเกิดสะเก็ดและรอยดำหลังการรักษาได้มากกว่าการใช้พลังงานเลเซอร์ โดยมีเทคโนโลยี Sublative Rejuvenation ในการรักษาหลุมสิว รอยแผลเป็น รวมถึงรูขุมขนด้วยวิธีผลัดผิวชั้นนอกเพียงเล็กน้อยแต่พลังงานจะกระตุ้นผิวชั้นในได้มาก
- Dual Yellow Laser
ถือว่าเป็นนวัตกรรมเลเซอร์ที่อ่อนโยนต่อผิวกว่าเลเซอร์หน้าตัวอื่นๆ ข้างต้น ด้วยการผสานระหว่างคลื่นเลเซอร์แสงสีเขียวและคลื่นเลเซอร์แสงสีเหลืองจึงทำให้รักษารอยบนผิวหน้าทั้งรอยต่างๆ ที่มีสีแดง รวมถึงมีรายงานใช้ร่วมรักษารอยดำ ฝ้า กระได้
คลื่นเลเซอร์แสงสีเขียวนั้นมีความยาวคลื่นอยู่ที่ 511 nm ส่วนคลื่นเลเซอร์แสงเหลืองจะมีความยาวคลื่นอยู่ที่ 578 nm และ Dual Yellow Laser เป็นเลเซอร์ที่ใช้รักษาเฉพาะจุด ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าผิวหนังบริเวณรอบข้างจะได้รับความเสียหาย
เปรียบเทียบเลเซอร์หน้าใสแต่ละประเภท
เลเซอร์หน้าใสแต่ละประเภทมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป โดยเลเซอร์แต่ละตัวนั้นมีข้อดี ข้อเสีย และจุดเด่นเฉพาะตัวดังต่อไปนี้
- IPL
ข้อดีของการใช้ IPL ในระดับพลังงานเพื่อหน้าใส คือสามารถรักษาปัญหาผิวในชั้นลึกโดยไม่ทำร้ายผิวชั้นนอก อ่อนโยนต่อผิว จึงทำให้ระหว่างทำนั้นรู้สึกเจ็บน้อยมากหรือไม่รู้สึกเลย หลังจากที่ทำเสร็จไม่ต้องพักฟื้น
แต่มีข้อเสียคือต้องทำต่อเนื่องบ่อยครั้งถึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนตามที่คาดหวัง รวมถึงอาจเกิดอาการบวมแดงหลังทำได้ ส่วนจุดเด่นของการใช้ IPL คือสามารถใช้รักษาสิว รวมถึงรอยแดงที่เกิดจากแสงแดด และกระชับรูขุมขนได้อีกด้วย ขึ้นอยู่กับความยาวคลื่นและพลังงาน การทำหัตถการตัวนี้มีราคาที่ย่อมเยากว่าการใช้เลเซอร์หน้าใสตัวอื่น
- Q-Switch Laser
ข้อดีของเลเซอร์ชนิดนี้คือใช้เวลาในการทำไม่นาน เพียงแค่ 10-15 นาทีเท่านั้น หลังทำเสร็จสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ รวมถึงยังราคาย่อมเยากว่าเลเซอร์หน้าตัวอื่นด้วย แต่ข้อเสียคืออาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยระหว่างทำและหลังทำ หรือหากใช้พลังงานสูง อาจเกิดการตกสะเก็ดบริเวณที่ทำได้ นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นคืออาจช่วยรักษารอยดำ ยิงกระ หรือจับเม็ดสีในผิวชั้นหนังแท้ทำให้นำไปใช้ในการลบรอยสักสีดำได้อีกด้วย
- Fractional CO2 Laser
ข้อดีในการใช้เลเซอร์ Fractional CO2 คือสามารถรักษาปัญหาหลุมสิว ริ้วรอยบางๆ รวมถึงกระชับรูขุมขนไปพร้อมกับการแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ ส่วนข้อเสียของเลเซอร์หน้าใสชนิดนี้คืออาจทำให้ผิวหน้าตกสะเก็ดและมีอาการผิวไหม้หลังจากทำได้ แต่จุดเด่นคือไม่รู้สึกเจ็บระหว่างการทำ เนื่องจากจะต้องใช้ยาชาก่อนการรักษา และผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน บางรายอาจทำเพียงไม่กี่ครั้ง
- E-Matrix
การใช้เลเซอร์หน้าใส E-Matrix ในการรักษาปัญหาผิวบนใบหน้ามีข้อดีคือพลังงาน Fractional Radiofrequency ไม่มีผลต่อสีผิว ทำให้ลดปัญหารอยไหม้ต่างจากพลังงานเลเซอร์ แต่มีข้อเสียคือต้องพักการทำกิจกรรมหลังรับการรักษาและระหว่างทำก็อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย รวมถึงมีโอกาสเกิดแผลตกสะเก็ดเพราะต้องทำให้ผิวเกิดบาดแผล ส่วนจุดเด่นของ E-Matrix คือการช่วยรักษาปัญหาหลุมสิวจากการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวให้สร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน
- Dual Yellow Laser
ข้อดีของเลเซอร์ชนิดนี้คือไม่รู้สึกเจ็บปวดระหว่างทำ และหลังจากทำแล้วก็สามารถทำกิจกรรมได้ตามปกติเพราะอ่อนโยนต่อผิว จึงทำให้มีข้อเสียคือไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยฝ้าหรือกระฝังลึกเนื่องจากจะเห็นผลไม่ชัดเจน ส่วนจุดเด่นของเลเซอร์ตัวนี้คือสามารถรักษาสิวได้ รวมถึงหลังจากทำก็สามารถใช้เครื่องสำอางได้เลย ไม่ต้องพักหน้าเหมือนเลเซอร์หน้าใสตัวอื่น
การปฏิบัติตัวก่อนทำเลเซอร์หน้าใส
ข้อควรปฏิบัติก่อนการทำเลเซอร์หน้าใสมีดังนี้
- หลีกเลี่ยงการออกแดดโดยตรงประมาณ 4-6 สัปดาห์ รวมถึงทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวระคายเคืองก่อนการทำเลเซอร์หน้า
- งดการทำครีมที่มีส่วนผสมของกรด เช่น AHA BHA เรตินอยด์ เนื่องจากกรดจะทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิว ส่งผลให้ผิวหน้าไวต่อแสงและความร้อน
- ทาครีมเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า หากผิวหน้าแห้งกร้านหรือขาดน้ำก็อาจมีโอกาสทำให้รู้สึกเจ็บหรือแสบระหว่างการทำหัตถการได้
- ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่เพื่อช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนให้กับร่างกาย
- ปรึกษาแพทย์หาเกิดแผลสดก่อนการเข้ารับบริการเพื่อลดโอกาสติดเชื้อจากการทำเลเซอร์หน้าใส
ขั้นตอนการทำเลเซอร์หน้าใส
การทำเลเซอร์หน้าใสมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- ทำความสะอาดสิ่งสกปรกบนผิวหน้า
- ปิดบริเวณดวงตาด้วยผ้าปิดตาหรือแว่นกันแสงเพื่อป้องกันดวงตาจากแสงเลเซอร์
- ทาเจลเย็นหรือยาชาบนผิวเพื่อบรรเทาอาการเจ็บขณะทำ
- แพทย์จะใช้เครื่องมือยิงเลเซอร์ลงบนผิวหน้าบริเวณที่ต้องการรักษา
การปฏิบัติตัวหลังทำเลเซอร์หน้าใส
- งดให้ผิวหน้าโดนน้ำในช่วงแรก สำหรับเลเซอร์บางชนิดที่ทำให้เกิดแผลเล็กๆได้
- ควรงดการออกแดดโดยตรงเนื่องจากผิวหลังทำเลเซอร์หน้าจะระคายเคืองได้ง่าย อาจทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันฝ้า กระ จุดด่างดำที่อาจเกิดขึ้น หากเลเซอร์ไม่ทำให้ผิวแสบหรือมีแผล
- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำร้อนเพื่อป้องกันผิวแห้ง และทาครีมที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับใบหน้า
- งดการถู นวด หรือเกาใบหน้าแรงๆ เนื่องจากอาจทำให้เกิดแผล
- งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
- ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันผิวขาดน้ำ
ผลข้างเคียงของเลเซอร์หน้าใสมีอะไรบ้าง?
อาการอาจเกิดหลังจากการทำเลเซอร์หน้าใส ผลข้างเคียงเบื้องต้น เช่น
- อาจเกิดอาการบวมแดงและผิวอักเสบ แต่จะสามารถหายได้เอง หากรู้สึกปวดก็สามารถประคบเย็นหรือกินยาเพื่อบรรเทาอาการได้
- อาจเกิดสะเก็ดหลังการเข้ารับบริการเลเซอร์หน้าบางชนิด โดยสะเก็ดจะหลุดไปเองภายใน 5-7 วัน
- ผิวหน้าอาจมีการแห้งและลอกในช่วง 5-7 วันแรกหลังทำ
- ผิวมีสีเข้มขึ้น โดยสามารถรักษาได้ด้วยการทา Bleaching Cream เพื่อลดการทำงานของเม็ดสีในภายหลัง ให้ผิวที่เข้มขึ้นค่อยๆ จางลง
- อาจเกิดสิว หรือกระตุ้นโรคผิวหนังอื่นได้ เช่น เริมที่ริมฝีปาก
“Bleaching Cream คือครีมที่ช่วยลดการทำงานของเม็ดสี ทำให้รอยดำจางลง ได้แก่ยาในกลุ่ม Hydroquinone, Topical retinoids และ Cysteamine cream เป็นต้น”
คำถามที่พบบ่อย
เลเซอร์หน้าใสเจ็บไหม?
ความเจ็บในการทำเลเซอร์หน้าใสขึ้นอยู่กับประเภทเลเซอร์ที่ใช้ทำ โดยแบ่งเป็น 2 ประเภทคือแบบลอกผิว (Ablative Laser Resurfacing) และแบบที่ไม่ทำให้เกิดแผล (Non-ablative Laser Resurfacing) โดยเลเซอร์แบบลอกผิวอาจทำให้รู้สึกเจ็บมากกว่าเนื่องจากเป็นการใช้ความร้อนจากเลเซอร์ในการลอกชั้นผิวบางออก แต่แบบที่ไม่ทำให้เกิดแผลจะเป็นการปล่อยพลังงานเข้าไปยังผิวชั้นใน
ทั้งนี้ ความเจ็บนั้นเป็นความเจ็บในระดับที่ทนได้ และขึ้นอยู่กับตัวบุคคล หากรู้สึกเจ็บเกินก็สามารถแจ้งแพทย์เพื่อปรับลดพลังงานเลเซอร์ที่ใช้ได้
เลเซอร์หน้าใสต้องทำซ้ำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
เลเซอร์หน้าใสกี่ครั้งเห็นผล? ขึ้นอยู่กับประเภทของเลเซอร์ที่ใช้ โดยปกติทั่วไปควรทำอย่างต่อเนื่อง 3-5 ครั้ง โดยห่างกันประมาณ 4-6 สัปดาห์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์อย่างชัดเจน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อว่าตนเองควรเลือกใช้เลเซอร์ชนิดไหนถึงจะเห็นผลตามที่คาดหวัง
สรุป
เลเซอร์หน้าใสเป็นเลเซอร์ที่ช่วยให้ผิวหน้าใส ลดความหมองคล้ำ กระชับรูขุมขน โดยนับว่าใช้เวลาในการรักษาไม่นานก็เห็นผลได้อย่างชัดเจน แต่ผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาผิวหน้าก็สามารถเข้ารับบริการเลเซอร์หน้าใสได้เช่นกัน ปัจจุบันมีการใช้เลเซอร์หลากหลายประเภท และประเภทต่างๆ ก็มีส่วนช่วยเสริมแตกต่างกันไป
หากต้องการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเลเซอร์หน้าใสหรืออยากทราบว่าตนเองเหมาะกับการใช้เลเซอร์ประเภทใด สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน SkinX เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับสภาพผิวกับแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังได้โดยตรง ผู้ใช้งานใหม่ปรึกษากับแพทย์จากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำผ่านทางแอปฯ SkinX โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
อ้างอิง
Higuera, V. (2018, July 24). Laser Treatment for Scars: What You Should Know. https://www.healthline.com/health/laser-treatment-for-scars
Oakley, A. (2008). Bleaching cream. https://dermnetnz.org/topics/bleaching-agents
Santhakumar, S. (2022, April 27). What are CO2 lasers? https://www.medicalnewstoday.com/articles/what-is-co2-laser