ริ้วรอยตามอายุและริ้วรอยก่อนวัย แก้ไขอย่างไรดี?
ริ้วรอย เป็นปัญหาผิวหน้าที่พบมากเมื่ออายุมากขึ้น แต่ในบางครั้งริ้วรอยอาจเกิดขึ้นมาก่อนวัยจนทำให้ดูอายุมากกว่าความเป็นจริงได้ หลายคนอาจคิดว่ายังอายุน้อย ริ้วรอยไม่ใช่เรื่องใกล้ตัว แต่ในความเป็นจริงแล้วริ้วรอยจะเริ่มเกิดขึ้นบนใบหน้าตั้งแต่อายุ 25 และมากขึ้น ลึกขึ้น ชัดขึ้นทุกๆ ปี
แต่แล้วริ้วรอยดังกล่าวคืออะไร มีลักษณะอย่างไร สาเหตุการเกิดริ้วรอย และวิธีการลดริ้วรอยบนใบหน้าสามารถทำอย่างไรได้บ้าง? ในบทความนี้ SkinX มีคำตอบ
ริ้วรอยคืออะไร?
ริ้วรอย (Wrinkles) คือปัญหาผิวหน้าอย่างหนึ่ง ที่ทำให้บริเวณผิวของเราเกิดรอยยับเป็นริ้ว เป็นเส้น หากเป็นมากจะเห็นเป็นร่องลึกลงไปในผิว ซึ่งริ้วรอยไม่ได้เกิดจากความผิดปกติ แต่เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อเราอายุมากขึ้น
ริ้วรอยจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อเราอายุประมาณ 25 ปี และจะเกิดเยอะขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ นอกจากนี้ ริ้วรอยยังไม่ได้เกิดขึ้นแค่บนใบหน้าเท่านั้น แต่ผิวหนังทั้งร่างกายจะเริ่มมีริ้วรอยเมื่ออายุมากขึ้น จุดที่สามารถเห็นได้ชัดคือใบหน้า คอ มือ และแขน
สาเหตุการเกิดริ้วรอย
ริ้วรอยเกิดจากอะไร? โดยปกติแล้ว ผิวของเราจะมีส่วนประกอบ 3 อย่างที่มีผลอย่างมากต่อความเต่งตึงของผิว นั่นคืออิลาสติน (Elastin), คอลลาเจน (Collagen), และกรดไฮยาลูโรนิค (Hyalur
“คอลลาเจน (Collagen) คือโปรตีนอย่างหนึ่งที่เป็นโครงสร้างของเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย แต่การที่ร่างกายจะสร้างคอลลาเจนได้นั้นไม่ได้อาศัยแค่โปรตีน ต้องมีสารอาหารอื่นๆ อีก เช่น วิตามินซี วิตามินเอ และวิตามินอี แต่แม้จะมีสารอาหารครบ เมื่ออายุมากขึ้นการสร้างคอลลาเจนก็จะน้อยลงเรื่อยๆ อยู่ดี”
อิลาสตินจะช่วยให้ผิวยืดหยุ่นและคืนรูป คอลลาเจนช่วยให้ผิวเต่งตึง เรียบเนียน ส่วนกรดไฮยาลูโรนิคมีผลทำให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำ ช่วยให้ผิวฟูและนุ่มขึ้น หากไม่มีสารทั้งสามตัวหรือมีน้อย เมื่อขยับกล้ามเนื้อ ผิวที่ถูกพับย่นจะไม่ขยายตัวออกมาอย่างเดิม จนเกิดริ้วรอยขึ้นบนผิว หากยังขยับให้ผิวย่นที่จุดเดิมเรื่อยๆ ก็จะเกิดเป็นริ้วรอยร่องลึกที่แก้ไขได้ยาก
ดังนั้น ริ้วรอยเกิดจากการที่ผิวหนังของเรามีปริมาณอิลาสติน, คอลลาเจน, และกรดไฮยาลูโรนิคลดลงจนผิวไม่แข็งแรง เต่งตึง และยืดหยุ่นเท่าเดิม ทำให้ผิวไม่สามารถคืนตัวได้ตามปกติหลังจากกล้ามเนื้อหดตัวและคลายลง ส่งผลให้ผิวหนังหย่อนคล้อยและพับย่นจนเกิดเป็นริ้วรอยขึ้นมา
นอกจากนี้ริ้วรอยยังสามารถเกิดจากปัจจัยอื่นๆ ได้อีก อย่างผิวขาดน้ำ หรือผลัดเซลล์ผิวได้ช้าจนทำให้ผิวเกิดรอยย่นได้ง่าย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะดังกล่าวมีหลายสาเหตุ ได้แก่
1. อายุ
อายุเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเกิดริ้วรอย ร่างกายของคนเราจะสร้างสารที่ทำให้ผิวหนังเต่งตึงได้น้อยลงทุกๆ ปี ประมาณปีละ 1 เปอร์เซ็นต์ เมื่ออายุย่างเข้า 25 ปี ทำให้ผิวไม่เต่งตึงเท่าเดิม เริ่มหย่อนคล้ายจนทำให้เกิดริ้วรอยขึ้น
2. พันธุกรรม
คนเรามีช่วงเวลาที่เริ่มมีริ้วรอยต่างกัน ความลึก ความรุนแรง ความยากง่ายของการเกิดริ้วรอยก็ต่างกัน เนื่องจากผิวของคนเรามีโครงสร้างหรือลักษณะการสร้างสารต่างๆ ไม่เหมือนกันจากการกำหนดโดยพันธุกรรม
3. รังสียูวี (Ultraviolet (UV) light)
รังสียูวีเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้มากที่สุด ทั้งยังเร่งให้ริ้วรอยเป็นร่องลึกขึ้นได้มากกว่าเดิมด้วย เนื่องจากรังสียูวีสามารถเข้าไปถึงชั้นผิวหนังด้านใน และทำลายโครงสร้างของคอลลาเจน อิลาสติน และไฟเบอร์ต่างๆในผิว จนทำให้ผิวอ่อนแอ เกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าเดิมได้
4. อนุมูลอิสระ (Free radical)
อนุมูลอิสระ คือโมเลกุลหรืออะตอมที่ไม่เสถียร และไปจับกับโมเลกุลอื่นๆ เพื่อทำให้ตัวเองเสถียรขึ้น ส่งผลให้โมเลกุลหรืออะตอมอื่นๆ เสียหาย จนเกิดความผิดปกติขึ้นได้ ดังนั้นหากมีอนุมูลอิสระในร่างกายมากเกินไปอาจส่งผลต่อโครงสร้างต่างๆ ของผิว ทำให้เกิดริ้วรอยได้มากกว่าเดิมได้
5. การสูบบุหรี่และดื่มสุรา
บุหรี่มีผลต่อการสร้างคอลลาเจน และมีผลทำให้ร่างกายอายุมากขึ้น (Aging) เซลล์ต่างๆ ในร่างกายเสื่อมลง ส่วนสุรามีผลทำให้ผิวขาดน้ำจนเกิดริ้วรอยตื้นๆ ได้
6. ผิวแห้งที่เกิดจากอายุมากขึ้นหรือการขาดน้ำ
น้ำในผิวมีผลอย่างมากต่อการทำให้ผิวฟูและเต่งตึง หากผิวขาดน้ำจะทำให้ผิวเป็นริ้วรอยได้มากขึ้น แต่ส่วนใหญ่จะมีผลทำให้เกิดริ้วรอยตื้นๆ ไม่ได้มีผลทำให้เกิดริ้วรอยร่องลึกที่แก้ไขยาก
7. ความเครียด
ความเครียดมีผลต่อระบบต่างๆ ของร่างกายได้มาก ในเรื่องของการเกิดริ้วรอย ความเครียดจะมีผลกับโครงสร้างของโปรตีนในผิว ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น เมื่อมีอะไรไปรบกวนผิวหรือขยับกล้ามเนื้อมากๆ อาจส่งผลให้เกิดริ้วรอยร่องลึกที่ผิวได้ง่ายกว่าปกติ
8. การขยับกล้ามเนื้อใบหน้าซ้ำๆ
เมื่อเรายิ้ม หัวเราะ เลิกคิ้ว หรือขมวดคิ้ว มักจะมีผิวบางส่วนที่ถูกกดเข้าหากัน หากผิวหนังส่วนนี้มีความยืดหยุ่นน้อย จะทำให้เกิดเป็นริ้วรอยบนใบหน้าได้ ยิ่งขยับซ้ำๆ ริ้วรอยจะยิ่งชัดขึ้นและเป็นร่องลึก
วิธีลดริ้วรอยบนใบหน้าให้เห็นผล
วิธีลดริ้วรอยบนใบหน้ามีหลากหลายวิธี มีทั้งวิธีที่ช่วยบำรุงผิว ให้ผิวเกิดริ้วรอยได้น้อยลง และลดการทำงานของกล้ามเนื้อ ป้องกันไม่ให้ผิวย่นยับจนเกิดริ้วรอย โดยวิธีการที่จะช่วยลดริ้วรอยได้ มีดังนี้
1. การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดริ้วรอย
ผลิตภัณฑ์สูตรลดริ้วรอย ควรมีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยผลัดเซลล์ผิว ซึ่งส่วนผสมที่นิยมใช้กันได้แก่ เรตินอยด์ (Retinoids), วิตามินซี (Ascorbic acid), อัลฟา ไฮดรอกซี แอซิด (AHA), ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide), โคเอนไซม์ คิวเทน (Coenzyme Q10), และกรดไฮยาลูโรนิค
“ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) เป็นสารในครีมบำรุงผิวที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน ซึ่งไนอะซินาไมด์เป็นวิตามินบี 3 รูปแบบหนึ่ง ออกฤทธิ์ช่วยในการสร้างอิลาสติน ลดรอยแดง เพิ่มความชุ่มชื้น ลดความมัน ต้านอนุมูลอิสระ ทั้งยังช่วยลดริ้วรอยได้อีกด้วย”
นอกจากครีมบำรุงผิวเหล่านี้ ยังควรใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวเสียหายจากผลของรังสียูวีร่วมด้วย
2. การใช้ทรีตเมนต์ลดริ้วรอย
การทำทรีตเมนต์ลดริ้วรอย เป็นการทำหัตถการรักษาริ้วรอยบนใบหน้าโดยแพทย์ด้วยเครื่องมือเฉพาะ มีจุดประสงค์ทำให้ผิวถูกฟื้นฟู เสริมสร้างการสร้างคอลลาเจน อิลาสติน และกรดไฮยาลูโรนิค ทำให้ผิวกลับมาเต่งตึงอีกครั้ง ช่วยให้ริ้วรอยตื้นขึ้น มองเห็นได้ลดลง
โดยทรีตเมนต์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่ การทำทรีตเมนต์คลื่นวิทยุ (Radiofrequency therapy), การทำไฮฟู (HIFU หรือ High-Intensity Focused Ultrasound) ที่เป็นการทำทรีตเมนต์ยกกระชับด้วยคลื่นอัลตร้าซาวด์, และการทำเมโส (Mesotheraphy) ที่เป็นการทำทรีตเมนต์ด้วยการฉีดวิตามินและสารที่มีประโยชน์เข้าสู่ผิว ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างของผิวให้แข็งแรงขึ้นได้
3.การฉีดโบท็อกซ์ (Botulinum Toxin A)
ริ้วรอยบนใบหน้าเกิดจากการที่กล้ามเนื้อขยับจนทำให้ผิวหนังพับเกิดรอยเหี่ยวย่นและริ้วรอย การฉีดโบท็อกซ์จะไปออกฤทธิ์กับระบบประสาทและกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีด เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัว ขยับน้อยลง ริ้วรอยในบริเวณดังกล่าวจะค่อยๆ น้อยและจางลง เสมือนการลบริ้วรอยบนใบหน้านั่นเอง
4.การทำเลเซอร์ (Laser)
เลเซอร์เป็นวิธีรักษาริ้วรอยบนใบหน้าที่มีผลในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียน เต่งตึง ลดรอยเหี่ยวย่น โดยเลเซอร์ลดริ้วรอยบนใบหน้าที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน มีทั้ง Nd:YAG, Er:YAG, CO2 Laser, Fractional laser และ IPL (intense pulsed light)เลเซอร์เป็นวิธีที่เห็นผลไว แต่ก็อาจมีข้อเสียอย่างทำให้เม็ดสีผิดปกติชั่วคราว หรือผิวแสบลอกได้ในบางกรณี หากสนใจทำเลเซอร์ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังก่อนตัดสินใจทำ
5.ฟิลเลอร์ (Filler)
ฟิลเลอร์ เป็นวิธีลบริ้วรอยบนใบหน้า โดยการใช้กรดไฮยาลูโรนิคฉีดเข้าไปที่ผิวหนังโดยตรง สารดังกล่าวจะเข้าไปแทรกตามพื้นที่ผิวที่ยุบเป็นร่อง ช่วยเติมเต็มให้ผิวมีช่องว่างน้อยลง เต่งตึงมากขึ้น ลบรอยบนใบหน้าให้หายไปและเกิดซ้ำได้ยากขึ้น
6.ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง SkinX
วิธีการลดริ้วรอยที่นิยมทำกันในปัจจุบันมีหลากหลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ทั้งยังเหมาะกับสภาพผิว หรือลักษณะของริ้วรอยที่แตกต่างกันด้วย ดังนั้นก่อนการตัดสินใจรักษาหน้ามีริ้วรอยด้วยวิธีการใดๆก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลผลข้างเคียง และปรึกษาแพทย์ผิวหนังเสียก่อน
แล้วจะปรึกษาแพทย์ผิวหนังได้อย่างไร? การปรึกษาแพทย์ผิวหนังจะไม่เป็นเรื่องยากอีกต่อไป เพราะทุกคนสามารถปรึกษาแพทย์ตัวต่อตัวแบบออนไลน์ได้ที่แอปพลิเคชัน SkinX ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่ให้ผู้ที่กำลังดูแลผิวสามารถปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องเสียเวลารอคิวทั้งวัน
เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ลงทะเบียน เลือกแพทย์ที่ต้องการปรึกษา เพียงเท่านี้ก็สามารถปรึกษาทุกปัญหาผิวกับแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญจากสถานพยาบาลชั้นนำกว่า 200 คนได้โดยตรง เพราะผิวดี ไม่ต้องรอ!
การป้องกันการเกิดริ้วรอยด้วยวิธีแบบธรรมชาติ
วิธีที่ช่วยป้องกันริ้วรอยได้ดีที่สุด และวิธีลดริ้วรอยบนใบหน้าแบบธรรมชาติที่สามารถเห็นผลได้หากเป็นริ้วรอยตื้นๆ คือการปรับพฤติกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงทำให้เกิดริ้วรอย และเพื่อให้ผิวแข็งแรง เกิดริ้วรอยได้ยากขึ้น ซึ่งการป้องกันการเกิดริ้วรอยนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไปควรรู้ เพราะสำหรับเรื่องริ้วรอยนั้น การป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยทำได้ง่ายกว่าการแก้ไขในภายหลัง
สิ่งที่ควรทำเพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอย ได้แก่
- ระวังการถูกแสงแดดและทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ผ่อนคลายความเครียด งดสูบบุหรี่และดื่มสุรา เพื่อหลีกเลี่ยงสาเหตุการเกิดริ้วรอย
- ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายเข้าสู่สมดุล ผิวสุขภาพดีขึ้นให้ริ้วรอยเกิดได้น้อยลง ในร่างกายมีสารต้านอนุมูลอิสระมากขึ้น และให้เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงเซลล์บริเวณใบหน้าได้อย่างทั่วถึง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ประมาณวันละ 6 – 8 แก้ว ช่วยให้ผิวอิ่มฟูขึ้น ลดการเกิดริ้วรอย
- เลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย เช่น ล้างหน้าบ่อยไป ถูหน้าแรงๆ แสดงอารมณ์ทางสีหน้ามากเกินไป หรือนอนตะแคงข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน
คำถามที่พบบ่อย
Q: หน้ามีริ้วรอยทำไงดี?
A: หากหน้ามีริ้วรอย อาจจะลองซื้อครีมลดริ้วรอยใช้ดูก่อน หากเป็นริ้วรอยไม่ลึกครีมก็อาจจะช่วยได้ในเบื้องต้นโดยไม่ต้องทำหัตถการ หากใช้ต่อเนื่องหลายเดือนแล้วไม่ดีขึ้นก็สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางแก้ไขต่อไปได้ โดยแพทย์จะเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมให้กับแต่ละบุคคล
Q: ริ้วรอยก่อนวัย เกิดจากอะไร?
A: ริ้วรอยก่อนวัย เกิดได้จากหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพันธุกรรม พฤติกรรม และการใช้ชีวิต ถ้าผิวมีโครงสร้างผิวไม่ดีจากพันธุกรรม หรือสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินได้น้อยอยู่แล้ว ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้มากกว่าปกติ หรือถ้าชอบเล่นกีฬา ใช้ชีวิตกลางแดด ชอบล้างหน้าแรงๆ หรือแสดงอารมณ์ทางสีหน้ามากๆ ก็จะมีโอกาสเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้มากกว่าปกตินั่นเอง
Q: นอนตะแคงทำให้เกิดริ้วรอยได้อย่างไร?
A: การนอนตะแคงข้างเดียวเป็นเวลานาน จะทำให้ผิวหย่อนลงด้านเดียวซ้ำๆ หากผิวมีความยืดหยุ่น หรือความตึงไม่มากพอ จะทำให้ผิวที่ถูกแรงโน้มถ่วงดึงให้หย่อนลงซ้ำๆ เกิดเป็นริ้วรอยขึ้นได้นั่นเอง
Q: การแต่งหน้าทำให้เกิดริ้วรอยได้จริงหรือ?
A: การแต่งหน้าไม่ได้ทำให้เกิดริ้วรอยโดยตรง แต่บางครั้งการล้างเครื่องสำอางออกให้สะอาด อาจจะทำให้ผิวแห้ง หรือถูกถู ถูกรบกวนมากเกินไปจนเกิดเป็นริ้วรอยขึ้นมาได้ หรือหากแพ้เครื่องสำอางจนเซลล์ผิวผลัดตัวผิดปกติ ก็ทำให้เกิดริ้วรอยตื้นๆ ได้เช่นกัน
Q: ริ้วรอยบนใบหน้าและลำคอในบางช่วงวัยของชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยใดเป็นสำคัญ
A: หากเป็นริ้วรอยไม่ลึก เป็นๆ หายๆ ในบางช่วงวัย อาจจะเกิดจากการที่ผิวแห้ง หรือผลัดเซลล์ผิวไม่ดีในช่วงนั้นๆ ทำให้ผิวหนังไม่แข็งแรงไม่เต่งตึงอย่างที่ควรเป็น เมื่อผิวชุ่มชื้นขึ้น การผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกดีขึ้น ริ้วรอยตื้นๆ เหล่านั้นจะหายไปเอง
แต่หากเกิดขึ้นในบางช่วงวัยแล้วไม่สามารถหายไปเองได้ เกิดเป็นริ้วรอยร่องลึก อาจเกิดจากปัจจัยอื่นที่มีผลกับโครงสร้างผิวหรือการสร้างอิลาสติน คอลลาเจน และกรดไฮยาลูโรนิคในผิว อย่างเช่นพันธุกรรม อายุ ความเครียด แสงแดด การดื่มสุราและสูบบุหรี่ เป็นต้น
Q: ทานคอลลาเจน ลดริ้วรอยได้จริงหรือ?
A: คอลลาเจนที่อยู่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกย่อยโดยระบบย่อยอาหารให้กลายเป็นโปรตีนสายสั้นก่อนจะดูดซึมเข้าร่างกาย ดังนั้นคอลลาเจนดังกล่าวไม่สามารถเข้าสู่ผิวโดยตรงได้ ทำให้การทานคอลลาเจนเข้าไปอาจจะทำให้ร่างกายได้สารอาหารเพียงพอต่อการสร้างคอลลาเจน แต่ไม่สามารถกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนมากขึ้นจนสามารถลดริ้วรอยได้
ดังนั้นหากจะทานคอลลาเจนให้ได้ผลอาจจะต้องทำหัตถการอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย หรือหากทานอาหารครบห้าหมู่และรับวิตามินได้ครบอยู่แล้วก็ไม่ได้จำเป็นต้องทานคอลลาเจนแต่อย่างใด
สรุป
ริ้วรอยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ ไม่ได้มีผลในเรื่องสุขภาพ แต่การมีริ้วรอยบนใบหน้าอาจทำให้ดูอายุมากและมีผลในเรื่องของรูปลักษณ์ได้มาก ดังนั้นผู้ที่ต้องการรักษาริ้วรอยให้ตรงจุด เห็นผลไว ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก
Mayo Clinic Staff. (2021, October 9). Wrinkles. Mayo Clinic. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/wrinkles/symptoms-causes/syc-20354927
Yetman, D. (2020, June 25). What Are the Effects of Stress on Your Face?. Healthline.
https://www.healthline.com/health/stress-on-face#:~:text=Stress%20causes%20changes%20to%20the,to%20the%20formation%20of%20wrinkles.
Mayo Clinic Staff. (2021, May 4). Wrinkle creams: Your guide to younger looking skin. Mayo Clinic.
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/wrinkles/in-depth/wrinkle-creams/art-20047463
Cleveland Clinic. (2017, May 1). Treatments to Reduce Wrinkles. Cleveland Clinic. https://my.clevelandclinic.org/health/treatments/8411-treatments-to-reduce-wrinkles
Khatri, M. (2021, November 5). Laser Resurfacing. WebMD. https://www.webmd.com/beauty/laser-resurfacing