SkinX

GET-On the App Store

SkinX Team

6 มีนาคม 2568

เป็นฝ้าเพราะอะไร? ป้องกันได้ไหม? รักษาได้อย่างไรบ้าง?

ฝ้า

ฝ้าเป็นปัญหาผิวหนังที่เกิดขึ้นได้ง่ายและพบได้บ่อยในคนทั่วไป โดยเฉพาะในผู้ที่ต้องสัมผัสแสงแดดเป็นประจำ ซึ่งฝ้าจะส่งผลให้เกิดรอยด่างดำหรือรอยคล้ำบนผิวหน้า ซึ่งอาจทำให้สีผิวดูไม่สม่ำเสมอ และลดความมั่นใจในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยตรง แต่ก็เป็นเรื่องที่หลายคนกังวลและอยากจะหาวิธีดูแลหรือรักษาเพื่อให้ผิวกลับมาดูเรียบเนียน กระจ่างใสจากการเป็นฝ้าอีกครั้ง

 

Key Takeaways

  • ฝ้า คือ ผิวที่มีลักษณะเป็นจุดหรือรอยด่างที่มีสีเข้มคล้ำกว่าผิวหนังปกติ ซึ่งมักพบได้บนผิวหนังที่มักต้องเจอกับแสงแดด เช่น ใบหน้า 
  • ฝ้าเป็นกระบวนการที่ร่างกายผลิตเม็ดสีขึ้นมาปกป้องผิวมากเกินไปและไม่สม่ำเสมอจนเห็นเป็นรอยด่างดำขึ้นได้
  • ปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า จะมีอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผลของแสงแดด ฮอร์โมน พันธุกรรม อายุ และสารเคมี
  • การรักษาฝ้าสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การใช้หัตถการทางการแพทย์ การใช้ครีมและยาในการบำรุงรักษาหรือการใช้วิธีทางธรรมชาติในการฟื้นฟูผิว
สารบัญบทความ

ฝ้าคืออะไร?

ฝ้าที่หน้า

ฝ้า (Melasma) คือ ผิวที่มีลักษณะเป็นจุดด่างดำ หรือรอยด่างที่มีสีเข้มกว่าผิวหนังปกติ โดยอาจจะเป็นสีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลเข้มหรือดำก็ได้ ซึ่งการเป็นฝ้าก็มักพบในบริเวณที่สัมผัสแสงแดด เช่น ใบหน้า หน้าผาก โหนกแก้ม จมูก ริมฝีปากส่วนบน และคาง จนทำให้สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย ส่งผลให้เสียความมั่นใจในการโชว์ใบหน้าของตัวเอง

สาเหตุของฝ้าคืออะไร?

สาเหตุที่ทำให้ผิวเกิดฝ้ามาจากการกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานินในร่างกาย ซึ่งเป็นกลไกที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องผิวหนังจากอันตรายต่าง ๆ แต่เมื่อเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocyte) ทำงานผิดปกติ เช่น ผลิตเมลานินมากเกินไปหรือกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ ก็จะส่งผลให้เกิดรอยดำหรือรอยด่างบนผิวหนังเป็น ฝ้า กระ หรือจุดด่างดำขึ้นมาได้

ปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้ามีอะไรบ้าง?

ปัจจัยที่มีส่วนในการกระตุ้นให้เกิดฝ้าก็จะมีอยู่ด้วยกันหลายอย่าง ได้แก่

  • แสงแดด : รังสี UVA และ UVB จากแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นหลักที่ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีผลิตเมลานินเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อผิวเจอกับแสงแดดติดต่อกันเป็นเวลานานหรือไม่มีการป้องกันอย่างเหมาะสมก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสเกิดฝ้าให้มากขึ้น
  • อายุ : เมื่ออายุมากขึ้น กระบวนการฟื้นฟูผิวและความสมดุลของการผลิตเม็ดสีก็จะลดลง ทำให้เกิดฝ้าได้ง่ายขึ้น
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน : ในช่วงตั้งครรภ์, การใช้ยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน, การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนสังเคราะห์ (เช่น Diethylstilbestrol) ในการรักษาบางโรค อย่าง มะเร็งต่อมลูกหมาก, และผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ได้รับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเสริมก็มีโอกาสเกิดฝ้าเพิ่มขึ้นได้
  • พันธุกรรม : หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นฝ้า โอกาสที่จะเป็นฝ้าก็มีสูงขึ้นตามไปด้วย โดยประมาณ 33-50% ของผู้ที่เป็นฝ้าพบว่ามีประวัติคนในครอบครัวเป็นฝ้า 
  • การใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม : เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางชนิด อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและเกิดปฏิกิริยาไวแสง (phototoxic reaction) ซึ่งอาจกระตุ้นให้ฝ้ารุนแรงขึ้น

ฝ้ามีกี่ชนิด? แตกต่างกันอย่างไร?

อาการเริ่มต้นของฝ้า

ฝ้าเป็นปัญหาผิวที่โดยทั่วไปปกติแล้วจะไม่จำเป็นต้องแบ่งประเภทฝ้าให้แตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่บางครั้งก็นิยมพูดถึงฝ้าโดยแบ่งชนิดตามสาเหตุการเกิดและลักษณะฝ้าต่าง ๆ ซึ่งอาจช่วยให้เข้าใจปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้าและแนวทางการรักษาฝ้าได้มากขึ้น โดยลักษณะของฝ้าแต่ละชนิดก็จะสามารถแบ่งได้ ดังนี้

ชนิดของฝ้า ตามสาเหตุการเกิดของฝ้า

  • ฝ้าฮอร์โมน : เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ในช่วงตั้งครรภ์ หรือการใช้ยาคุมกำเนิด ฝ้าฮอร์โมนมีแนวโน้มเกิดได้ง่ายในเพศหญิง เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนมีผลกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสี
  • ฝ้าแดด : เป็นฝ้าที่เกิดจากรังสี UVA และ UVB ในแสงแดดที่กระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีผลิตเมลานินมากเกินไป ฝ้าชนิดนี้มักพบในบริเวณที่โดนแดดบ่อย เช่น ใบหน้า

ชนิดของฝ้า ลักษณะตามความลึกของฝ้า

  • ฝ้าตื้น (Epidermal type) : หรือฝ้าทั่วไป เกิดขึ้นบริเวณชั้นหนังกำพร้า มีสีน้ำตาลเข้มถึงเทาดำ ขอบเขตของฝ้าชัดเจน การรักษาฝ้าตื้นทำได้ง่ายกว่า โดยใช้ยาทาหรือครีมกันแดด
  • ฝ้าลึก (Dermal type) : เกิดในชั้นหนังแท้ใต้หนังกำพร้า มีสีอ่อนกว่า เช่น น้ำตาลอ่อน เทา หรือเทาอมฟ้า ขอบเขตของฝ้าไม่ชัดเจนและมักกลืนไปกับผิว ฝ้าชนิดนี้รักษาได้ยากและอาจไม่หายขาด
  • ฝ้าผสม (Mixed type) : เป็นการรวมลักษณะของฝ้าตื้นและฝ้าลึกเข้าด้วยกัน โดยฝ้าบริเวณกลางมักมีสีเข้ม ส่วนขอบจะจางกว่า ฝ้าผสมเป็นชนิดของฝ้าที่พบได้บ่อยที่สุด และต้องใช้วิธีการรักษาหลายรูปแบบร่วมกัน

วิธีการรักษาฝ้ามีอะไรบ้าง?

ในปัจจุบันวิธีการรักษาฝ้าก็จะมีอยู่หลายรูปแบบให้ได้เลือกใช้ โดยการรักษาแต่ละแบบก็จะมีรายละเอียดอย่างค่าใช้จ่าย ระยะเวลาการรักษา และความเหมาะสมต่อฝ้าแต่ละประเภทแตกต่างกันไป

รักษาด้วยหัตถการทางการแพทย์

การรักษาฝ้าด้วยหัตถการทางการแพทย์เป็นวิธีที่ให้ผลได้อย่างรวดเร็วที่สุด แต่ก็มักมีค่าใช้จ่ายที่สูงด้วย ดังนั้นการทำหัตถการแต่ละครั้งจึงต้องได้รับการวินิจฉัยปัญหาและประเภทของฝ้าเป็นอย่างดี เพื่อที่จะทำให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างตรงจุด

 

  • เลเซอร์รักษาฝ้า : การรักษาด้วยเลเซอร์ฝ้าเป็นการยิงพลังงานแสงเพื่อกำจัดเม็ดสีเมลานินส่วนเกิน เช่น Q-Switched หรือ Picosecond Laser ซึ่งเหมาะสำหรับฝ้าลึกและฝ้าผสม
  • IPL (Intense Pulsed Light) : ใช้แสงความเข้มสูงช่วยลดเม็ดสีและทำให้ผิวหน้าสว่างใสขึ้น
  • Chemical Peeling : การลอกผิวด้วยกรด เช่น AHA หรือ TCA เพื่อลดฝ้าตื้นและผลัดเซลล์ผิว
  • Microneedling : การใช้เข็มขนาดเล็กกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมยาทา

รักษาด้วยยาและครีมทาผิว

การรักษาฝ้าด้วยยาหรือครีมทาผิวเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นวิธีที่เห็นผลเร็วและมีค่าใช้จ่ายปานกลาง โดยครีมทาฝ้าที่ปลอดภัยควรมีส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพในการลดเลือนฝ้าและจุดด่างดำ เช่น 

  • Hydroquinone
  • Tranexamic acid
  • Kojic acid
  • Vitamin C
  • Thiamidol : เป็นสารไบรท์เทนนิ่งที่ช่วยลดฝ้าแดด กระแดด และจุดด่างดำ โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง และช่วยให้ผิวหน้าดูเนียนใส สม่ำเสมอกัน
  • Alpha Arbutin : ช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน ทำให้ฝ้าจางลง
  • Glycolic Acid (AHA) : เป็นกรดผลไม้ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าและเปิดที่ว่างให้เห็นผิวใหม่
  • Tretinoin : เป็นกรดวิตามินเอที่เร่งการลอกเซลล์ผิวและลดจุดด่างดำที่เกิดจากฝ้า แต่อาจทำให้เกิดรอยแดงหรืออาการผิวลอกได้
  • Vitamin E : ช่วยลดการอักเสบของผิวและทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น

ในขณะเดียวกันการใช้ยารักษาฝ้าอย่างปลอดภัยก็ควรปรึกษาแพทย์ ถ้าจำเป็นต้องใช้สารต่อไปนี้ในการรักษา

  • สเตียรอยด์ : สเตียรอยด์สามารถทำให้ผิวบางลงหรือมีผลข้างเคียงเฉพาะที่แบบอื่นๆได้
  • ไฮโดรควิโนน : ไฮโดรควิโนนเป็นสารที่มักใช้ในการรักษาฝ้า แต่บางคนอาจเจอผลข้างเคียง เช่น อาการระคายเคืองและอาการผิวไวต่อแสงแดด หรือรอยดำชนิดอื่น

รักษาด้วยวิธีทางธรรมชาติ

วิธีรักษาฝ้า กระ ให้หายขาดแบบธรรมชาติเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสำหรับประเภทของฝ้าที่ไม่หนักมาก หรือผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี อีกทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย วิธีนี้มักต้องการการดูแลต่อเนื่องและใช้เวลาพอสมควรจึงจะเห็นผลลัพธ์ เนื่องจากมีข้อจำกัดทางหลักฐานงานวิจัย ตัวอย่างของวัตถุดิบธรรมชาติที่มีผู้แนะนำว่าสามารถนำมาใช้ดูแลปัญหาฝ้าได้ มีดังนี้

  • ขมิ้นชัน : มีสารเคอร์คูมิน (Curcumin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยทำให้สีผิวดูกระจ่างขึ้น วิธีใช้คือ ผสมผงขมิ้นกับนมสดในอัตราส่วน 1:2 จากนั้นทาลงบนผิวบริเวณที่มีปัญหา รอจนแห้งสนิท แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ควรทำเป็นประจำทุกวันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • มะนาว : เป็นหนึ่งในตัวช่วยยอดนิยมในการบำรุงผิว และยังมีคุณสมบัติในการฟอกสีผิวตามธรรมชาติ เพียงบีบน้ำมะนาวและทาลงบนบริเวณฝ้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำเช่นนี้วันละสองครั้ง จะเริ่มเห็นผลในประมาณ 3 สัปดาห์
  • มะละกอ : มะละกอดิบและสุกมีเอนไซม์ปาเปน (Papain) ที่ช่วยลดเลือนฝ้าได้ดี ให้นำมะละกอมาบดผสมกับน้ำผึ้ง ทาเป็นมาส์กบนผิวบริเวณที่มีปัญหา ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก ทำสัปดาห์ละครั้ง ติดต่อกัน 2-3 เดือน
  • ว่านหางจระเข้ : เป็นส่วนผสมยอดนิยมในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว การใช้ว่านสดจากต้นจะได้ผลดีที่สุด ให้นำเจลจากว่านหางจระเข้มานวดลงบนผิวประมาณ 2 นาที ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำวันละสองครั้ง
  • น้ำหัวหอม : เป็นวิธีธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพในการลดเลือนฝ้า เนื่องจากมีสารซัลฟอกไซด์และเซเพนส์ (Sulfoxides and Cepaenes) ช่วยลดรอยคล้ำและจุดด่างดำ วิธีใช้คือนำหัวหอมบดผสมกับน้ำส้มสายชูแอปเปิล ใช้สำลีแต้มลงบนผิว ทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำวันละสองครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดี
  • แตงกวา : มีปริมาณน้ำสูงช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดความเข้มของเม็ดสี เพียงขูดเนื้อแตงกวาและทาลงบนบริเวณฝ้า ทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วล้างออก ทำเป็นประจำทุกวัน
  • น้ำส้มสายชูแอปเปิล : มีคุณสมบัติช่วยทำให้สีผิวดูสว่างขึ้น เพียงแต้มลงบนบริเวณที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

อย่างไรก็ตาม การใช้ผลิตภัณฑ์ทางธรรมชาติก็มีความเสี่ยงต่อการระคายหรือแพ้ได้เช่นกัน ควรสังเกตอาการหากมีผลข้างเคียงเช่นแสบคัน หรือแห้งแดง ระคาย

แนวทางป้องกันไม่ให้ผิวเป็นฝ้า

ฝ้าตื้น

การป้องกันฝ้าถือเป็นวิธีที่สำคัญในการดูแลผิว โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงจากพันธุกรรม ฮอร์โมน และการสัมผัสแสงแดด สามารถทำตามแนวทางดังนี้

  • ปกป้องผิวจากแสงแดด : หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดในช่วงเวลาที่รังสี UV สูงอย่างช่วง 10.00-16.00 น. และควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF และค่า PA สูง อย่างสม่ำเสมอ
  • ใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ผสมสารกันแดด : สำหรับผู้ที่ต้องการปกปิดรอยดำจากฝ้า สามารถเลือกใช้รองพื้นหรือแป้งที่มีสารกันแดด อย่าง Iron Oxide ซึ่งจะช่วยลดการผลิตเม็ดสีและป้องกันการกระตุ้นฝ้าไปพร้อมกับการปกปิดรอยฝ้าด้วย
  • หลีกเลี่ยงฮอร์โมนหรือยาที่กระตุ้นการเกิดฝ้า : ฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดหรือยาฮอร์โมนบำบัดอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยากลุ่มนี้หากเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดฝ้าอยู่แล้ว หรือสังเกตได้ว่ามักเป็นฝ้าหลังจากใช้ยา
  • รักษาผิวให้แข็งแรง : การบำรุงผิวด้วยครีมที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี หรือไนอะซินาไมด์ จะช่วยลดการอักเสบและปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอก

 

การดูแลผิวเป็นประจำและการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบอบบางหรือไวต่อแสงแดด

ปัญหาฝ้าแก้ไม่ยาก หากรักษาอย่างถูกต้อง!

ฝ้าเป็นปัญหาผิวหนังที่เกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือการสัมผัสแสงแดดและแสงสีฟ้าจากหน้าจอ ซึ่งกระตุ้นให้เม็ดสีเมลานินในชั้นผิวผลิตมากเกินไปจนเกิดรอยด่างดำ แม้การป้องกันฝ้าอาจทำได้ยากในบางกรณี แต่มีวิธีลดโอกาสการเกิดฝ้าและควบคุมไม่ให้รอยดำลุกลาม เช่น การป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัด ใช้ครีมบำรุงที่เหมาะสม รวมถึงการรักษาด้วยหัตถการหรือผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการเกิดของฝ้าใหม่ให้น้อยลงได้

 

สำหรับผู้ที่ต้องการคำปรึกษาด้านปัญหาฝ้าและผิวพรรณอื่น ๆ แอปพลิเคชัน SkinX พร้อมช่วยดูแล โดยรวบรวมทีมแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำ ให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การประเมินปัญหา การจ่ายยาที่เหมาะสม ไปจนถึงการติดตามผลการรักษา สามารถพูดคุยกับแพทย์ได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง

 

โหลด SkinX เพื่อรับการดูแลผิวพรรณอย่างมืออาชีพ ให้ผลลัพธ์ที่มั่นใจและกลับมามีผิวสุขภาพดีอีกครั้ง!

อ้างอิง

Melasma. (2020, July 27). Cleveland Clinic.  https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/21454-melasma 

 

Garibyan, L., & Moradi Tuchayi, S. (2022, July 11). Melasma: What are the best treatments? Harvard Health Publishing. https://www.health.harvard.edu/blog/melasma-what-are-the-best-treatments-202207112776

 

6 natural remedies to treat acute melasma. (2019, November 21). Kaya Clinic.  https://www.kaya.in/blog/6-completely-natural-ways-to-cure-acute-melasma 

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น ใช้งานครั้งแรกปรึกษาฟรี
Tips & Tricks
สาระน่ารู้และข่าวประชาสัมพันธ์

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ สามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า