สิวและผิวหน้า
24 มิถุนายน 2568

สิวอักเสบ ตัวทำลายความมั่นใจของใครหลายคน เพราะนอกจากจะมีอาการบวมแดงบนใบหน้าอย่างชัดเจนแล้ว แต่งหน้าก็กลบสิวได้ยาก และยังรู้สึกเจ็บปวดเมื่อเผลอไปสัมผัส นอกจากนี้ สิวอักเสบยังหายช้า หากเผลอไปบีบหรือรักษาไม่ถูกวิธีก็อาจทิ้งรอยดำรอยแดงจากสิวได้ง่ายมาก ๆ อีกด้วย
แล้วสิวอักเสบเกิดจากอะไร? มีวิธีลดสิวอักเสบอย่างไรบ้าง? รักษาสิวอักเสบอย่างไรไม่ให้มีรอยสิวทิ้งไว้? มาหาคำตอบไปพร้อมกัน
สารบัญบทความสรุป สิวอักเสบเกิดจากอะไร? รักษาอย่างไรได้บ้าง?
สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า P.acnes ที่ใช้ย่อยเอนไซม์ Lipase จนเกิดเป็นกรดไขมันออกมาบนผิวหนัง ซึ่งแบคทีเรียชนิดนี้จะกระตุ้นให้หลั่งสาร Protease Cytokines ที่ทำให้เกิดการอักเสบนั่นเอง สิวอักเสบจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดง มีขนาดเล็กไม่เกิน 0.5 มม. หรือเกิดตุ่มหนองบริเวณหัวสิว ซึ่งมีอาการบวมแดงและเจ็บปวดมากกว่าสิวตุ่มนูนแดงกับสิวหัวหนอง ทั้งนี้ ปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดสิวอักเสบบวมแดงบนใบหน้าสามารถพิจารณาได้ดังต่อไปนี้
สิวอักเสบสามารถแบ่งตามความรุนแรงและขนาดของตุ่มสิวอักเสบได้ 3 ประเภท ดังนี้
สิวตุ่มแดง (Papules) เป็นสิวอักเสบที่อาจจะเกิดได้ทั้งจากการติดเชื้อแบคทีเรียผสมกับการอุดตันของรูขุมขน หรือเกิดจากสิวอุดตันที่ถูกรบกวนจากการสัมผัส, กด, บีบ, แคะ หรือแกะ ทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าไปในรูขุมขนจนเกิดการอุดตันและอักเสบกลายเป็นสิวไม่มีหัวหนองนั่นเอง มีลักษณะเป็นสิวหัวแดงขนาดเล็กไม่เกิน 0.5 ซม. เมื่อสัมผัสจะเป็นเนื้อนูน ๆ ใต้ผิวหนังส่งผลให้ผิวไม่เรียบเนียน หากปล่อยทิ้งไว้นานอาจทำให้สิวอักเสบมากกว่าเดิมได้
สิวหัวหนอง (Pustules) เกิดจากการอักเสบของรูขุมขนที่อุดตันจากสิ่งสกปรก และการติดเชื้อจากแบคทีเรีย รวมถึงการสัมผัสใบหน้าเป็นประจำ ซึ่งกระตุ้นให้สิวอักเสบและเกิดหัวหนองใต้ผิวหนัง มีลักษณะเป็นตุ่มสิวแดงตรงกลาง บริเวณหัวสิวเกิดเป็นตุ่มหนอง เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย การรักษาสิวหัวหนองจึงไม่ควรบีบด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้สิวอักเสบมากขึ้นและลุกลามไปบริเวณอื่น ๆ
สิวหนองเกิดขึ้นได้ยังไง? หนอง (Pus) เป็นของเหลวสีขาวเหลืองที่เกิดจากการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อหรือเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตายแล้ว และแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ พบบ่อยในสิวอักเสบและแผลติดเชื้อ
สิวตุ่มแดงขนาดใหญ่ (Nodule) อย่างสิวหัวช้างหรือสิวไต เป็นสิวอักเสบอย่างรุนแรง ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ลุกลามเข้าไปถึงชั้นผิวหนังชั้นลึก โดยมีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดใหญ่ ไม่มีหัว และบวมแดงอย่างชัดเจน เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บปวดค่อนข้างมาก สิวชนิดนี้ไม่ควรกดสิวหรือบีบด้วยตนเอง เพราะอาจทำให้สิวอักเสบและทิ้งรอยสิวบนใบหน้าได้ง่าย หากมีสิวหัวช้างขนาดใหญ่จะใช้วิธีการรักษาด้วยการฉีดสิวโดยแพทย์ผิวหนังเพื่อลดการอักเสบทำให้สิวยุบตัวเร็ว
“สิวชีสต์ หรือ Cysts จริง ๆ แล้วเป็นเพียง สิวตุ่มแดงขนาดใหญ่ที่มีการอักเสบรุนแรง”
สิวตุ่มแดงขนาดใหญ่ที่มีการอักเสบรุนแรงเคยถูกเรียกว่า “สิวซีสต์ (Cysts) หรือ Nodulecystic ” แต่แท้จริงแล้วซีสต์ไม่ได้พบในสิวอักเสบ สิวชนิดดังกล่าวเป็นเพียงสิวก้อนกลมรุนแรง (Severe Nodule Ance) เท่านั้น ซึ่งควรรักษากับแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางมากกว่าการรักษาด้วยตนเอง
นอกจากนี้ สิวติดสารสเตียรอยด์ หรือสิวสเตียรอยด์ ไม่ใช่สิวอักเสบอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจกัน เป็นเพียงอาการผิดปกติของผิวจากการใช้ยาที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์มาเป็นเวลานาน จึงทำให้เกิดสิวเห่อขึ้นตามบริเวณที่ทายานั่นเอง
สิวอักเสบรักษาอย่างไรได้บ้าง? สิวอักเสบสามารถรักษาได้หลากหลายวิธี โดยพิจารณาตามลักษณะสิว, ขนาดสิว, การอักเสบ และสภาพผิวของผู้เข้ารับการรักษาแต่ละราย ซึ่งวิธีการรักษาสิวอักเสบมีด้วยกันดังนี้
ยาแก้สิวอักเสบ เป็นวิธีการรักษาที่ช่วยฆ่าเชื้อสิวหรือควบคุมการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ ปัจจุบันยาแก้สิวอักเสบมีทั้งแบบยาทาและยาทาน สามารถพิจารณายารักษาสิวได้ดังนี้
ยาแก้สิวแบบทา
ยาแก้สิวอักเสบชนิดทาน
ทั้งนี้ ยาชนิดทานหรือยาที่อยู่ในกลุ่มอนุพันธุ์วิตามินเอทุกชนิดนับเป็นยาอันตราย จึงควรปรึกษากับแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางและให้แพทย์เป็นผู้จ่ายยาเท่านั้น
สิวอักเสบกดออกได้ไหม? การกดสิวเหมาะสำหรับสิวบางประเภทอย่างสิวตุ่มแดงขนาดเล็กและสิวหัวหนอง ซึ่งไม่ควรกดสิวอักเสบด้วยตัวเอง เพราะหากกดผิดวิธีอาจทำให้สิวและผิวบริเวณรอบ ๆ อักเสบมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้แบคทีเรียจากหนองกระจายออกไปตามผิวหนัง เสี่ยงต่อการเกิดสิวบริเวณอื่นและการติดเชื้อมากกว่าเดิม แนะนำให้รักษาสิวอักเสบด้วยการใช้ยาก่อน หากมีตุ่มหนองหลงเหลืออยู่ค่อยกดออก
การแปะแผ่นดูดสิวเป็นวิธีรักษาสิวอักเสบที่ได้รับความนิยมสูง ด้วยการเอาแผ่นดูดสิวติดลงบนสิวแล้วรอเวลาให้แผ่นดูดเอาหนองจากหัวสิวอักเสบออก นอกจากจะทำให้สิวแห้งไวแล้ว ยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณเอามือไปสัมผัสกับผิวโดยตรง ซึ่งลดโอกาสการอักเสบและการติดเชื้อจากสิ่งสกปรกที่มือได้อีกด้วย ทั้งนี้ แผ่นดูดสิวสามารถรักษาได้แต่สิวอักเสบที่เกิดบริเวณผิวหนังชั้นบนเท่านั้น
พฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวันอาจส่งผลต่อความมันบนผิวหนังและระดับฮอร์โมน ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวอักเสบได้ จึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดสิวอักเสบด้วยการปฏิบัติตามวิธีการดูแลตนเองดังต่อไปนี้
เมื่อรู้ตัวว่าเป็นสิวอักเสบควรรีบไปปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการด้านผิวหนังและรีบรักษาสิวด้วยวิธีที่เหมาะสม เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นานสิวมีโอกาสที่จะลุกลามและแพร่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้รักษายากกว่าเดิมได้ สำหรับใครที่สนใจปรึกษาสิวแต่ไม่สะดวกไปพบแพทย์โดยตรง สามารถเลือกปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังผ่านแอปพลิเคชัน SkinX ได้ง่าย ๆ เพียงโหลดแอปฯ แล้วรอรับยาที่แพทย์จ่ายให้โดยตรงที่บ้าน เพียงเท่านี้ก็สามารถมีผิวที่ดีขึ้นได้แล้ว เพราะผิวดี ไม่ต้องรอ!
สิวอักเสบขึ้นไม่หยุดอาจเกิดจากการทำงานของต่อมไขมันผิดปกติ ทำให้ผลิตน้ำมันออกมามากเกินความจำเป็น, ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง, หรือมีสิ่งสกปรกอย่างเชื้อแบคทีเรียตกค้างบนใบหน้าทำให้เกิดสิวอักเสบ แนะนำให้รีบปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อหาต้นเหตุของการเกิดสิวและหาวิธีรักษาให้ถูกวิธี
ระยะเวลารักษาสิวอักเสบขึ้นอยู่กับวิธีการรักษาและอาการอักเสบ สิวอักเสบที่มีอาการอักเสบน้อยอย่าง สิวตุ่มแดงหรือสิวหัวหนอง จะใช้เวลารักษาเพียงไม่กี่สัปดาห์ แต่หากเป็นสิวอักเสบที่มีอาการรุนแรงอย่างสิวตุ่มแดงขนาดใหญ่ จะใช้ระยะเวลารักษาค่อนข้างนานประมาณ 4-6 สัปดาห์
บีบสิวหรือกดสิวแล้วบวมแดงเกิดจากอะไร ? การบีบสิวหรือกดสิวส่งผลให้ผิวถูกรบกวนจนเกิดการระคายเคืองและเกิดการอักเสบของผิวหนัง โดยบริเวณที่อักเสบร่างกายจะลำเลียงเม็ดเลือดขาวมาป้องกันเชื้อโรค ทำให้มีอาการบวมแดงหลังจากบีบสิวนั่นเอง
แหล่งข้อมูลอ้างอิงจาก
Goh, C., Cheng, C., Agak, G., Zaenglein, A.L., Graber, E.M., Thiboutot, D.M., & Kim, J. (n.d.). Acneiform Disorders. Fitzpatrick’s Dermatology 9 TH Edition (1391-1404). McGraw-Hill Education.
มนตรี อุดมเพทายกุล. (n.d.). Acne Vulgaris. http://www.thaipediatrics.org/Media/media-20180403103621.pdf
บทความที่เกี่ยวข้อง
ดูทั้งหมด