Thermage กับ Ultherapy แตกต่างกันอย่างไร? เลือกแบบไหนให้เหมาะกับตนเอง
การทำหัตถการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัดนั้นสามารถทำได้หลายแบบด้วยกัน แต่ที่เห็นได้บ่อยในปัจจุบันคือการใช้คลื่นวิทยุหรือการใช้คลื่นอัลตราซาวด์ความถี่สูง ซึ่งก็คือเครื่อง Thermage และเครื่อง Ultherapy หลายคนอาจสงสัยว่า Thermage vs Ultherapy ต่างกันอย่างไร? เครื่องไหนดีกว่ากัน?
ในบทความนี้ SkinX จึงนำเสนอความแตกต่างระหว่างเครื่อง Ulthera กับ Thermage ทั้งหลักการทำงาน ข้อดีของแต่ละเครื่อง และตำแหน่งที่สามารถทำหัตถการยกกระชับผิว เป็นต้น
ทำความรู้จัก SkinX แอปพลิเคชันพบแพทย์ออนไลน์ ที่รวบรวมแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำไว้กว่า 210 คน เพื่อทำให้การพบแพทย์ง่ายดายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็พบแพทย์ได้เสมอ
Thermage vs Ultherapy ต่างกันอย่างไร?
การยกกระชับผิว (Rejuvenation) คือการทำหัตถการเพื่อยกกระชับผิวส่วนที่หย่อนคล้อยให้กลับมาเต่งตึงมากยิ่งขึ้น โดยอาจใช้วิธีผ่าตัดศัลยกรรม หรือส่งพลังงานคลื่นวิทยุหรือคลื่นอัลตราซาวด์ลงที่ชั้นผิว เป็นต้น ซึ่งเครื่อง Thermage และ Ultherapy ต่างก็ใช้ยกกระชับผิวเช่นกัน หากเปรียบเทียบ Thermage vs Ultherapy ก็มีความแตกต่างกันที่หลักการทำงาน ประเภทของพลังงานที่ใช้ หัวในการใช้ยิงพลังงาน ฯลฯ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
Thermage ทำงานอย่างไร?
Thermage เป็นเครื่องที่ใช้คลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว (Monopolar RF) ในการส่งพลังงานในรูปลักษณะก้อนพลังงานความร้อนลงใต้ผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง โดยมีค่าพลังงานความร้อนอยู่ที่ 40-50°C กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ที่เป็นส่วนประกอบของชั้นผิวดังกล่าว ทำให้คอลลาเจนที่มีอยู่เรียงตัวกระชับตัวมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อย หรือริ้วรอยเล็กน้อยจนถึงปานกลางเห็นผลลัพธ์ในการกระชับผิว ลดชั้นไขมัน ฟื้นฟูคุณภาพผิว ให้ผิวยืดหยุ่นขึ้นได้
ในปัจจุบัน การทำหัตถการยกกระชับผิวด้วยเครื่อง Thermage ในประเทศไทยมีการใช้อยู่ 2 รุ่นด้วยกันคือ CPT และ FLX โดยเครื่อง Thermage แบ่งหัวยิงพลังงานเป็น 4 แบบด้วยกัน ได้แก่
- Thermage Total Tip 3 cm2 เป็นหัวยิงเฉพาะรุ่น CPT เป็นหัวขนาด 3 ตร.ซม. สามารถยิงได้ 1,200 ช็อต เหมาะในการทำบริเวณใบหน้าไปจนถึงลำคอ
- Thermage Total Tip 4 cm2 เป็นหัวยิงเฉพาะรุ่น FLX เป็นหัวขนาด 4 ตร.ซม. สามารถยิงได้ 900 ช็อต เหมาะในการทำบริเวณใบหน้าไปจนถึงลำคอเหมือนหัวขนาด 3 ตร.ซม. ของรุ่น CPT แต่หัวนี้จะใช้เวลาในการทำต่อครั้งน้อยกว่า
- Thermage Body Tip 16 cm2 เป็นหัวขนาด 16 ตร.ซม. เหมาะในการใช้ทำบริเวณกว่าเช่นลำตัว แขน หรือขา เป็นต้น
Thermage Eye Tip 0.25 cm2 เป็นหัวขนาด 0.25 ตร.ซม. เหมาะสำหรับการใช้บริเวณรอบดวงตาเนื่องจากมีขนาดที่เล็กมาก
Ultherapy ทำงานอย่างไร?
Ultherapy หรือ Ulthera เป็นเครื่องยกกระชับผิวที่ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความถี่สูง (High Intensity Focused Ultrasound) หรือ Micro Focused UItrasound with Visualization (MFU-V) โดยมีความร้อนอยู่ในระดับ 60-70°C ยิงลงใต้ชั้นผิวในลักษณะจุดพลังงานขนาด 1 mm ลักษณะคล้ายจุดไข่ปลาเล็ก ๆ เรียงกันเป็นเส้นตรงใต้ผิว และมีหน้าจอในการดูระดับความลึกของจุดที่ยิงลงไปแบบ Real time จึงช่วยให้เลือกปล่อยพลังงานใต้ชั้นผิวได้อย่างแม่นยำ โดยสามารถส่งพลังงานได้ถึงชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ใช้ทำหัตถการดึงหน้า การใช้เครื่อง Ulthera จะทำให้ผิวชั้น SMAS เกิดการหดตัว รวมถึงกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน นอกจากนี้ หากมีปัญหากรอบหน้าไม่ชัดก็สามารถลดไขมันได้อีกด้วย
หัวยิงพลังงานของเครื่อง Ulthera ที่สามารถช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ มีดังต่อไปนี้
- หัวยิง 1.5 mm สามารถยิงพลังงานลงลึกใต้ชั้นผิว 1.5 mm ซึ่งเป็นระดับของผิวชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และผิวชั้นบน (Upper Dermis) ช่วยในการลดริ้วรอยที่ไม่ลึกมาก
- หัวยิง 3.0 mm สามารถยิงพลังงานลงลึกใต้ชั้นผิว 3 mm ซึ่งเป็นระดับของผิวชั้นกลาง (Lower Dermis) และชั้นไขมัน (Subcutaneous Tissue) ช่วยกระชับผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดไขมัน
- หัวยิง 4.5 mm สามารถยิงพลังงานลงลึกใต้ชั้นผิว 4.5 mm ซึ่งเป็นระดับของผิวชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ (SMAS) ช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อ รวมถึงช่วยยกแก้มและลำคอได้
“Ulthera SPT หรือ Ulthera See, Plan, Treat เป็นเทคนิคการยิง Ulthera แบบใหม่ ซึ่งเป็นเทคนิคที่เน้นการวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล ช่วยให้การรักษาตรงจุดมากยิ่งขึ้น ทำให้สามารถลดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ เช่นการยิงพลังงานไปโดนกล้ามเนื้อ หรือกระดูก และช่วยให้สามารถยิงพลังงานลงลึกใต้ชั้นผิว โฟกัสได้แม่นยำ ตรงจุด และมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ชั้นผิวมีอะไรบ้าง?
หลายคนอาจสงสัยว่าผิวแต่ละชั้นนั้นต่างกันอย่างไร และการทำหัตถการยกกระชับผิวในแต่ละชั้นจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันเช่นไร โดยปกติแล้ว ชั้นผิวทั่วไปของมนุษย์จะแบ่งออกเป็น 3 ชั้นด้วยกัน ได้แก่
- ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) เป็นชั้นผิวที่อยู่ภายนอกสุด มีหน้าที่ปกป้องผิวชั้นในจากสิ่งสกปรก แบคทีเรีย สารพิษ และป้องกันการสูญเสียน้ำในชั้นผิว
- ชั้นหนังแท้ (Dermis) อยู่ถัดลงมาจากชั้นหนังกำพร้า มีคุณสมบัติคือหนาและยืดหยุ่น ซึ่งชั้นนี้ประกอบไปด้วยคอลลาเจน (Collagen) และอิลาสติน (Elastin) ที่ทำให้ผิวแข็งแรง ยืดหยุ่น เต่งตึง
- ชั้นไขมัน หรือชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Tissue) ประกอบด้วยหลอดเลือดต่าง ๆ โปรตีนคอลลาเจนแนวตั้ง และเซลล์ไขมัน (Adipocyte) ทำหน้าที่รักษาอุณหภูมิให้กับร่างกาย รวมถึงรับแรงกระแทกเพื่อป้องกันอวัยวะภายใน
ส่วนผิวชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) อยู่ลึกใต้ชั้นไขมัน เป็นชั้นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อใบหน้า มีลักษณะเป็นพังผืดห่อหุ้มกล้ามเนื้อ ประกอบด้วยโปรตีนคอลลาเจนแนวนอนที่ประสานกันเป็นเส้นใย ซึ่งถือว่าเป็นชั้นผิวที่สำคัญในการยกกระชับผิวหน้า
เมื่อเทียบ Ultherapy vs Thermage แล้ว จะเห็นได้ว่า Thermage สามารถส่งพลังงานได้ถึงผิวชั้นหนังแท้เป็นหลักและชั้นไขมันใต้ผิวหนังตื้นๆ ทำให้มีจุดเด่นในการกระชับผิวด้านบนและลดไขมันส่วนเกินได้ดี ส่วน Ulthera หัวยิงลึกสามารถส่งพลังงานได้ถึงผิวชั้น SMAS ที่อยู่ลึกลงไปใต้ชั้นไขมัน จึงทำให้เครื่อง Ulthera มีจุดเด่นในการยกกระชับและช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยได้ด้วย
Thermage กับ Ultherapy ดีอย่างไร?
นอกจากการหลักการทำงานของเครื่อง Thermage vs Ultherapy ที่แตกต่างกันแล้ว ทั้งสองเครื่องก็ยังมีข้อดี หรือจุดเด่น ดังนี้
ข้อดีของ Thermage และ Ulthera
- หลังทำสามารถเห็นผลที่เปลี่ยนแปลงได้ทันที และสามารถเห็นผลชัดเจนขึ้นอีกหลัง 2-3 เดือน
- เป็นหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัดก็สามารถยกกระชับผิวได้ ไม่มีรอยแผลเป็นหรือรอยเข็ม
- ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
- ช่วยปรับกรอบหน้า ลดไขมันและเหนียงได้
- สามารถกระชับผิวได้ทั้งบริเวณใบหน้า รอบดวงตา และลำตัว
- เห็นผลยาวนาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลผิวของแต่ละบุคคล
- ให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับการเข้าผ่าตัดศัลยกรรมยกกระชับใบหน้า
ข้อดีที่เป็นจุดเด่นของเครื่อง Thermage คือการช่วยลดไขมันและสลายพังผืดที่เกาะชั้นไขมัน ต้นเหตุของเซลลูไลท์บริเวณต่าง ๆ ของลำตัว ส่วนข้อดีที่เป็นจุดเด่นของเครื่อง Ulthera คือการส่งพลังงานที่ชั้นลึก ช่วยให้ริ้วรอยและผิวที่หย่อนคล้อยในชั้น SMAS กระชับได้ใกล้เคียงกับการทำศัลยกรรมยกกระชับใบหน้า
Thermage กับ Ultherapy เหมาะกับใคร?
ผู้ที่เหมาะสำหรับการเข้ารับบริการยกกระชับผิวด้วยเครื่อง Ulthera กับ Thermage นั้น คือผู้ที่มีปัญหาในกลุ่มเหล่านี้
ผู้ที่เหมาะกับการทำ Thermage
- ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
- ปัญหาริ้วรอย ร่องข้างแก้ม
- ปัญหาไขมันส่วนเกินใต้คาง เหนียง
- ปัญหาคิ้วตกหรือหนังตาตก
- ปัญหารูขุมขนกว้าง ไม่เรียบเนียน
- ปัญหาผิวเปลือกส้ม เป็นริ้ว เซลลูไลท์
- ปัญหาไขมันส่วนเกินบริเวณลำตัว เช่น แขน ขา หรือรอบเอว
ผู้ที่เหมาะกับการทำ Ulthera
- ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ระดับปานกลาง
- ผู้ที่มีชั้นไขมันน้อย
- ปัญหาริ้วรอย ร่องข้างแก้ม
- ปัญหาริ้วรอยหรือความหย่อนคล้อยบริเวณลำคอ เนินอก
- ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา
- ปัญหาคิ้วตกหรือหนังตาตก
- ปัญหารูขุมขนกว้าง ไม่เรียบเนียน
- ปัญหาผิวบริเวณลำตัวหย่อนคล้อย เช่น ท้องแขน หน้าท้อง หรือเนินอก
ทั้งนี้ ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนการตัดสินใจทำว่าตนเองควรรับการรักษาด้วยเครื่องใด ระหว่าง Ultherapy vs Thermage เพื่อที่จะแก้ปัญหาสภาพผิวของตนได้อย่างตรงจุดมากที่สุด
Thermage กับ Ultherapy ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง?
ทั้ง Ulthera กับ Thermage สามารถทำหัตถการยกกระชับผิวได้หลากหลายตำแหน่ง ไม่จำเป็นต้องทำเฉพาะบริเวณใบหน้าเท่านั้น ซึ่ง Thermage vs Ultherapy ทำหัตถการได้บริเวณต่าง ๆ เบื้องต้นดังนี้
ตำแหน่งที่สามารถใช้เครื่อง Thermage
- ใบหน้า
- ใบหน้า ลำคอ
- รอบดวงตา
- ลำคอ เหนียง
- ลำตัว
- หน้าท้อง
- แขน
- ขาและเข่า
- หลังมือ
ตำแหน่งที่สามารถใช้เครื่อง Ulthera
- ใบหน้า
- ใบหน้า ลำคอ
- รอบดวงตา คิ้ว
- ลำคอ เหนียง ใต้คา
- ลำตัว
- เนินอก
- แขน
- ขา
Thermage กับ Ultherapy ใช้เวลานานเท่าใดถึงจะเห็นผล?
หากเทียบว่า Thermage vs Ultherapy ใช้เวลาเห็นผลแตกต่างกันเท่าไหร่ หลังทำ Ulthera กับ Thermage จะสามารถเห็นผลที่เปลี่ยนแปลงได้ โดยผิวจะกระชับขึ้นเล็กน้อย และจะค่อย ๆ เห็นผลชัดเจนขึ้นเมื่อผ่านไป 2-3 เดือนหลังจากการทำหัตถการ
ผลลัพธ์ของ Thermage กับ Ultherapy อยู่ได้นานเท่าไร?
แม้ว่าเครื่อง Ultherapy vs Thermage จะมีความแตกต่างกันเรื่องการส่งพลังงานที่ลึกถึงระดับผิวไม่เท่ากัน แต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานใกล้เคียงกันคือประมาณ 1-2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตนเองของแต่ละบุคคลเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หากต้องการรักษาผลลัพธ์ไว้ แนะนำว่าควรทำหัตถการด้วย Ulthera หรือ Thermage ปีละ 1 ครั้ง แต่ถ้าต้องการการยกกระชับที่มากขึ้นสามารถทำหัตถการซ้ำได้ โดย Thermage สามารถทำซ้ำได้ทุก 3-4 เดือน ส่วน Ulthera สามารถทำซ้ำได้ทุก 6 เดือน ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์เรื่องระยะเวลาการเข้ารับบริการอย่างเหมาะสมทุกครั้ง
ทำ Thermage กับ Ultherapy เจ็บไหม?
ความเจ็บจากการเข้ารับการยกกระชับผิวด้วยเครื่อง Ultherapy vs Thermage อาจไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ เนื่องจากการทำหัตถการทั้งสองจะมีการทายาชาเฉพาะที่เพื่อบรรเทาความเจ็บ โดยผู้เข้ารับบริการอาจรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มใต้ผิวหนังหรือรู้สึกร้อนจากพลังงานความร้อน
นอกจากนี้ เครื่อง Thermage FLX ยังมีระบบคำนวณความร้อนสะสมใต้ชั้นผิวและ Pre-cooling รวมถึง Post-cooling เพื่อให้ความเย็นบนผิว ลดโอกาสเกิดอาการผิวไหม้ได้อีกด้วย
แต่หากรู้สึกร้อนหรือเจ็บจนทนไม่ไหว ควรแจ้งแพทย์เพื่อปรับระดับพลังงานให้เหมาะสมกับสภาพผิว รวมถึงช่วยลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
สรุป
เครื่องที่ใช้ในหัตถการยกกระชับผิว Thermage vs Ultherapy นั้นมีข้อแตกต่างกันในแง่ของพลังงานที่ใช้ ทำให้การส่งพลังงานลงไปถึงชั้นผิวที่แตกต่างกัน เครื่อง Thermage ส่งพลังงานได้ถึงผิวชั้นหนังแท้และชั้นไขมันส่วนตื้นๆ ช่วยเพิ่มความกระชับ ความยืดหยุ่นของผิว และลดไขมันในขณะที่เครื่อง Ulthera สามารถส่งพลังงานได้ลึกถึงผิวชั้น SMAS ซึ่งถือเป็นต้นตอของปัญหาความหย่อนคล้อย จึงเด่นในเรื่องการยกกระชับ ทั้งนี้ ทั้งสองเครื่องมีจุดเด่นในการแก้ปัญหาแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล
หากต้องการศึกษาเพิ่มเติมหรือปรึกษาเกี่ยวกับเครื่อง Ulthera กับ Thermage สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน SkinX เพื่อพูดคุยกับแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังได้โดยตรง
แอปฯ SkinX จะช่วยให้ผู้ใช้งานรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้อย่างสะดวกสบาย สามารถปรึกษาปัญหาผิวหนังได้กว่า 20 ประเภท ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิว ปัญหาเส้นผมและหนังศีรษะ หรือเรื่องเกี่ยวกับหัตถการทางความงาม เป็นต้น สำหรับผู้ใช้งานใหม่ ดาวน์โหลด SkinX เพื่อปรึกษาครั้งแรกโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
อ้างอิง
Lindberg, S. (2021, March 16). Thermage vs. Ultherapy. https://www.healthline.com/health/thermage-vs-ultherapy
Mountford, T. (2022, September 21). Thermage Versus Ultherapy: What is the difference? https://www.cosmeticskinclinic.com/2021/03/24/thermage-versus-ultherapy-the-difference/