ฟิลเลอร์ VS ฉีดไขมัน ต่างกันหรือไม่? ปัญหาผิวของคุณเหมาะกับอะไร?
ในปัจจุบัน การแก้ไขปัญหาผิวหน้าและใบหน้าด้วยการฉีดสารเติมเต็มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพักฟื้นได้ไว และไม่เจ็บตัวเท่ากับการผ่าตัด โดยสิ่งที่นิยมฉีดกัน และผ่านการรับรองจากองค์กรอาหารและยาของไทยแล้ว คือการฉีดฟิลเลอร์ และการฉีดไขมัน
แต่การฉีดฟิลเลอร์และการฉีดไขมันคืออะไร ทั้งสองอย่างต่างกันอย่างไร เหมาะกับแก้ปัญหาผิวแบบไหน ในบทความนี้ SkinX จะมาตอบคำถามทุกเรื่องเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ และการฉีดไขมัน
SkinX แอปพลิเคชันที่จะทำให้คุณสามารถปรึกษาปัญหาผิวและความสวยความงามกับแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังโดยตรงผ่านทางออนไลน์ ที่ทั้งสะดวก และรวดเร็ว ดาวน์โหลดตอนนี้สามารถปรึกษาแพทย์ครั้งแรกได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ฟิลเลอร์กับฉีดไขมัน ต่างกันอย่างไร?
ข้อแตกต่างระหว่างการฉีดฟิลเลอร์กับการฉีดไขมัน สามารถทำเป็นตารางให้เห็นโดยสรุปได้ ดังนี้
ฟิลเลอร์ | ไขมัน | |
สิ่งที่ใช้ฉีด | ฟิลเลอร์ที่ทำจากกรดไฮยาลูรอนิคสังเคราะห์ | เซลล์ไขมันจากร่างกายของผู้เข้ารับการรักษาเอง โดยการดูดมาจากบริเวณ ต้นขา ต้นแขน สะโพก หรือส่วนอื่นๆ ด้วยเครื่องมือเฉพาะที่ทำให้เซลล์ไขมันยังคงมีชีวิตอยู่ |
วิธีการฉีด | สามารถฉีดที่จุดเดียวเพื่อให้ฟิลเลอร์เกาะรวมกันเป็นก้อนได้ สามารถเกลี่ยและปั้นขึ้นรูปได้ตามปัญหาที่ต้องการแก้ไข | ฉีดจุดละน้อยๆ หลายๆจุด เพื่อให้ไขมันสลายน้อยลง |
วิธีการทำงาน | ฟิลเลอร์จะเข้าไปแทนที่คอลลาเจน ไฟเบอร์ และอิลาสตินที่หายไป เมื่อครบเวลาจะสลายไปเอง | เข้าไปทดแทนไขมันที่สลายไปตามอายุ หรือเพิ่มในตำแหน่งที่ไม่มี ไขมันที่ฉีดจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อใบหน้า และไม่สลายไป หรือใช้เวลานานกว่าจะสลาย เป็นเหมือนการปลูกถ่ายเซลล์อย่างหนึ่ง |
ปริมาณที่ฉีด | ส่วนใหญ่ฉีดครั้งละ 1 – 2 cc | ครั้งละประมาณ 30 – 40 cc เผื่อไขมันสลายตัวหลังฉีด |
ราคา | ราคาแพงกว่า เนื่องจากฟิลเลอร์เป็นสารสังเคราะห์ | ราคาถูกกว่า เนื่องจากไขมันนำมาจากร่างกายผู้เข้ารับการรักษาเอง |
ระยะเวลาที่จะเห็นผลลัพธ์หลังการฉีด | 2 สัปดาห์ | 3 – 5 สัปดาห์ |
ข้อดีของผลลัพธ์ | – เห็นผลลัพธ์เร็ว – แก้ไข ปรับรูปหน้าและปัญหาเฉพาะจุดได้มากกว่า – แก้ไขผลลัพธ์ได้ง่ายโดยการฉีดสลายฟิลเลอร์ | – ใบหน้าดูเด็กลง เพราะมีสเต็มเซลล์ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ – ผลลัพธ์อยู่ได้นาน |
ข้อเสียของผลลัพธ์ | – อยู่ได้ไม่นาน – เสี่ยงเกิดฟิลเลอร์ผิดรูป ฟิลเลอร์ไหลไปที่เนื้อเยื่ออื่น | – เห็นผลช้า เสี่ยงเกิดรอยช้ำง่าย – เสี่ยงเกิดไขมันเป็นคลื่น จากไขมันสลายตัวไม่สม่ำเสมอ – แก้ไขผลลัพธ์ยาก |
ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน | 6 – 18 เดือน | 3 – 5 ปี หรืออาจจะนานเป็น 10 ปี |
ก่อนจะทราบที่มาที่ไปของข้อเปรียบเทียบในแต่ละข้อของการฉีดฟิลเลอร์ และการฉีดไขมัน ควรทราบก่อนว่าการฉีดฟิลเลอร์และการฉีดไขมัน คืออะไร?
ทำความรู้จักกับ “ฟิลเลอร์”
ฟิลเลอร์ (Filler) คือหัตถการช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย รอยเหี่ยวย่นบนผิวหนัง ช่วยปรับรูปหน้า และเครื่องหน้าให้เป็นไปตามความต้องการ หรือใกล้เคียงกับความต้องการของผู้เข้ารับการรักษา ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์จะทำโดยการฉีดสารเติมเต็มเข้าสู่ผิวหนังเพื่อให้ผิวหนังเต่งตึง ชุ่มชื้น และเพื่อปรับทรงใบหน้าในจุดต่างๆ
สารเติมเต็มที่ใช้ฉีดเข้าไปในผิวหนังมีหลายชนิด แต่ที่เป็นที่นิยม ค่อนข้างปลอดภัย และผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของไทย และองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) แล้ว คือฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid : HA)
ที่ฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนิคค่อนข้างปลอดภัย เป็นเพราะกรดไฮยาลูรอนิคสังเคราะห์ที่ใช้ทำเป็นฟิลเลอร์ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบกรดไฮยาลูรอนิคที่มีอยู่ในผิวหนังของมนุษย์เรา ทำให้เสี่ยงแพ้ได้น้อยกว่า สลายไปเองได้ตามอายุ ผลข้างเคียงระยะยาวค่อนข้างน้อย และหากไม่พอใจผลการรักษาสามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้
ฟิลเลอร์นิยมฉีดเพื่อแก้ไขริ้วรอยในจุดต่างๆ อย่างการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มและฟิลเลอร์ใต้ตา บางกรณีอาจจะฉีดเพื่อปรับโครงหน้า อย่างการฉีดฟิลเลอร์ขมับ ฟิลเลอร์คาง และฟิลเลอร์จมูก หรืออาจฉีดเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นอย่างการฉีดฟิลเลอร์ปาก และนอกจากใบหน้าแล้ว ฟิลเลอร์ยังสามารถฉีดที่หน้าอก สะโพก บั้นท้าย หรือส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้อีกด้วย
“Fact : จริงๆ แล้ว การฉีดฟิลเลอร์จมูก และฟิลเลอร์ในส่วนอื่นๆที่ไม่ใช่ใบหน้า ยังไม่ได้รับการรับรองจาก อย. ให้ทำหัตถการดังกล่าว ผู้ที่สนใจปรับทรงจมูก เพิ่มขนาดหน้าอก สะโพก บั้นท้าย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำหัตถการอื่นๆ ที่ปลอดภัยกว่าการฉีดฟิลเลอร์”
ประโยชน์ของการฉีดฟิลเลอร์
- แก้ไขปัญหาริ้วรอย ทั้งที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างผิว และเกิดจากผิวแห้งขาดน้ำ
- แก้ไขปัญหารอยพับ รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าที่เกิดจากไขมันห้อยย้อยลงตามอายุ ด้วยการเพิ่มแรงยกให้ผิวหนัง ทำให้ใบหน้ากระชับมากขึ้น
- ปรับรูปหน้า เครื่องหน้า เพื่อปรับให้ได้ทรงที่ต้องการหรือทำให้สมมาตรมากขึ้น
- เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
- หลังการรักษาฟื้นตัวเร็ว ใช้เวลาพักฟื้นน้อย
- สามารถแก้ไขปัญหาผิวบนใบหน้าได้โดยไม่ต้องผ่าตัด
ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่ส่วนไหนบ้าง?
ฟิลเลอร์นิยมฉีดในส่วนที่เป็นใบหน้า เนื่องจากเป็นจุดที่เห็นได้ชัด การฉีดจึงต้องให้ผลที่ละเอียดอ่อน ผลที่เห็นทันทีหลังฉีดและหลังจากพักฟื้นแล้วไม่ควรต่างกันมาก เพื่อแพทย์จะได้ฉีดฟิลเลอร์และปั้นฟิลเลอร์ออกมาให้ตรงตามความต้องการของผู้เข้ารับการรักษามากที่สุด
นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ยังมีราคาแพง แค่เพียง 1 เข็มที่บรรจุฟิลเลอร์ 1 cc ก็สามารถมีราคาสูงได้ถึง 10,000 – 20,000 บาท ฟิลเลอร์จึงไม่นิยมนำไปฉีดในตำแหน่งที่จะต้องฉีดครั้งละมากๆ อย่างบริเวณหน้าอก ต้นขา สะโพก หรือบั้นท้าย แต่จะนิยมฉีดกันบริเวณใบหน้ามากกว่า
อีกเหตุผลหนึ่ง ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณที่ต้องฉีดครั้งละมากๆ เป็นเพราะการฉีดฟิลเลอร์ให้เกาะตัวรวมกันเยอะเกินไป จะเสี่ยงทำให้เนื้อตายเป็นจุดๆ หรือเกิดการอักเสบติดเชื้อได้ง่ายกว่าปกติ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่อันตรายอย่างมาก
ดังนั้น จุงควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณใบหน้า โดยตำแหน่งฉีดฟิลเลอร์บริเวณใบหน้าที่ผู้คนนิยมฉีดกันมาก ได้แก่ ฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์ร่องแก้ม และฟิลเลอร์ใต้ตา
ทำความรู้จัก “การฉีดไขมัน”
การฉีดไขมัน หรือการปลูกถ่ายไขมัน (Fat Grafting) คือหัตถการที่ช่วยให้ผิวหนังเต่งตึงขึ้น ลดริ้วรอย และทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดดูอ่อนเยาว์ขึ้นโดยการฉีดไขมันหน้า นิยมทำเพื่อเติมเต็มบริเวณที่ดูตอบมากกว่าปกติ อย่างการฉีดไขมันแก้ม ในผู้ที่แก้มตอบ กรามและโหนกชัดเกินไป หรือฉีดไขมันหน้าผาก เพื่อให้หน้าผากกลมมนและโหนกขึ้น
ไขมันที่นำมาฉีด จะเป็นเซลล์ไขมันของตัวผู้เข้ารับการรักษาเอง ซึ่งไขมันดังกล่าวจะต้องนำไปเข้ากระบวนการปั่นแยกเซลล์ และทำความสะอาด นำสารอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นออกไปก่อน แล้วจึงใช้ไขมันดังกล่าวมาฉีดในบริเวณที่ต้องการ
กระบวนการทำงานของไขมันที่ฉีดจะไม่เหมือนกับฟิลเลอร์ เมื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าไป แพทย์จะฉีดให้ฟิลเลอร์เกาะตัวรวมกัน เมื่อเวลาผ่านไปพักหนึ่งฟิลเลอร์จะเกาะกับผิว จากนั้นจะค่อยๆ สลายไปเรื่อยๆ ทีละน้อยตามเวลา
ส่วนการฉีดไขมันนั้น ไม่ได้ฉีดเข้าไปแล้วรอสลายเหมือนกับฟิลเลอร์ การฉีดไขมันเหมือนการปลูกถ่ายเซลล์อย่างหนึ่ง เนื่องจากเซลล์ไขมันที่ฉีดเข้าไปเป็นเซลล์มีชีวิต หากฉีดเข้าไป และเริ่มเกาะกับเนื้อเยื่ออื่น เริ่มมีเส้นเลือดมาเลี้ยง ก็จะคงรูปเป็นส่วนหนึ่งของผิวหนังอยู่แบบนั้นจนกว่าจะสลายไปเองตามอายุที่มากขึ้น
แต่หากฉีดไปแล้ว เซลล์ไขมันไม่ได้เกาะรวมกับเนื้อเยื่ออื่น และไม่มีเส้นเลือดมาเลี้ยง จะทำให้เซลล์ไขมันเหล่านั้นตาย และค่อยๆยุบหายไปในเวลาประมาณ 1 เดือน
การที่เซลล์ไขมันติดบ้าง ไม่ติดบ้างทำให้แพทย์ต้องมีเทคนิคในการฉีดไขมันที่แตกต่างจากฟิลเลอร์ การฉีดไขมันไม่สามารถฉีดทั้งหมดในการแทงเข็มครั้งเดียวได้ แพทย์จะต้องฉีดเป็นจุดๆ ทีละจุดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ เพราะถ้าฉีดในจุดเดียวมากเกินไป เซลล์ไขมันบางส่วนจะมีเลือดไปเลี้ยงไม่ถึงและสลายไปได้
นอกจากนี้การฉีดไขมันยังนิยมฉีดครั้งละมากๆ ประมาณครั้งละ 30 – 40 cc แม้จะเป็นบริเวณใบหน้าก็ตาม เพราะแพทย์จะต้องเผื่อไว้ในกรณีที่ไขมันสลายไปด้วย
ประโยชน์ของการฉีดไขมัน
- ทำให้ใบหน้าเต่งตึง ดูเด็กลง
- ปรับปรุงคุณภาพผิวบริเวณที่ฉีด เนื่องจากในไขมันที่ฉีดมีสเต็มเซลล์เป็นส่วนประกอบ เซลล์เหล่านั้นจะช่วยซ่อมแซม และฟื้นฟูผิวให้ดีขึ้น
- เพิ่มเนื้อไขมันบริเวณที่ขาดหาย ทำให้ใบหน้ากลมมนมากขึ้น
- สามารถฉีดครั้งละมากๆ ได้ เหมาะกับการเติมเต็มในบริเวณที่มีขนาดใหญ่ อย่างบริเวณหน้าอก
สะโพก และบั้นท้าย - สามารถเพิ่มเนื้อเยื่อในบริเวณที่ต้องการได้โดยไม่ต้องผ่าตัด
- ใช้เวลาพักฟื้นน้อยเมื่อเทียบกับการผ่าตัด
“Fact : ประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง จากผลพลอยได้ของการฉีดไขมัน คือการกระชับสัดส่วนโดยการดูดไขมันที่ร่างกายในส่วนอื่นๆ เพราะการฉีดไขมัน จะนำไขมันมาจากการดูดไขมันบริเวณต้นแขน ต้นขา สะโพก และส่วนอื่นๆ ที่ผู้เข้ารับการรักษาต้องการกระชับสัดส่วน แต่ส่วนใหญ่แล้ว การดูดไขมันเพื่อนำมาฉีดไขมันโดยเฉพาะจะไม่ได้มีปริมาณเยอะมากจนเห็นผล ว่าต้นแขน ต้นขา หรือสะโพกเล็กลงอย่างชัดเจน หากต้องการดูดไขมันออกเพิ่ม ทางสถานพยาบาลจะต้องคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มด้วย”
ควรเลือกฉีดไขมันที่ส่วนไหนบ้าง?
การฉีดไขมัน นิยมฉีดเพื่อให้บริเวณที่มีปัญหามีเนื้อมากขึ้น เต่งตึงขึ้น จากที่เห็นโครงหน้าชัด เห็นกระดูกหน้าได้ง่าย การฉีดไขมันก็จะทำให้บริเวณดังกล่าวกลมขึ้น เนียนขึ้น มีเนื้อขึ้นมา ก็จะดูอายุน้อยลง
การฉีดไขมันให้ผลไม่เหมือนกับการฉีดฟิลเลอร์ การฉีดฟิลเลอร์จะเน้นที่การยกกระชับ และการปรับแต่งรูปหน้าและเครื่องหน้า เนื่องจากฟิลเลอร์มีเนื้อที่คงตัวได้มากกว่า สามารถปั้นขึ้นรูปได้ ในขณะที่การฉีดไขมันจะเน้นที่การเพิ่มเนื้อใต้ผิว ทำให้ผิวหนังเต่งตึงขึ้น แต่ไม่สามารถปั้นให้ขึ้นรูปได้
การฉีดไขมันจึงนิยมฉีดกันในบริเวณที่ต้องการเพิ่มเนื้อใต้ผิวหนัง อย่างการฉีดไขมันแก้ม ฉีดไขมันคาง ฉีดไขมันหน้าผาก และในร่างกายส่วนอื่นๆ เช่น ฉีดไขมันหน้าอก ฉีดไขมันสะโพก หรือฉีดไขมันบริเวณอวัยวะเพศหญิง
โดยที่การฉีด จะสามารถฉีดครั้งละมากๆได้ นอกจากราคาจะถูกเนื่องจากไขมันที่ใช้นำมาจากร่างกายของผู้เข้ารับการรักษาเองแล้ว ยังมีโอกาสอักเสบติดเชื้อได้น้อยมากแม้จะฉีดในปริมาณมาก เพราะเซลล์ไขมันเป็นเซลล์มีชีวิตที่ร่างกายสามารถสร้างหลอดเลือดฝอยเข้าไปเลี้ยงเซลล์ได้ ทำให้เซลล์ไม่ตาย และมีโอกาสการกดทับเนื้อเยื่อจนเกิดเนื้อตายได้ยากกว่าฟิลเลอร์
ทั้งนี้การฉีดไขมันจะต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และใช้เครื่องมือเฉพาะเท่านั้น เนื่องจากหากแพทย์ไม่เชี่ยวชาญ หรือเครื่องมือไม่เหมาะสม อาจทำให้ไขมันติดไม่ดี เกิดผิวเป็นคลื่นหลังฉีดไขมัน และยังมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงอื่นๆ ที่อันตรายมากอีกด้วย
ฉีดฟิลเลอร์หรือฉีดไขมัน อันไหนอยู่นานกว่ากัน?
การฉีดไขมัน สามารถอยู่ได้นานกว่าการฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากฟิลเลอร์จะค่อยๆ สลายตัวไปจนผิวบริเวณที่ฉีดกลับมาอยู่สภาพเดิมก่อนฉีด ในเวลาประมาณ 6 เดือน หรือนานที่สุดคือประมาณ 18 เดือน
ส่วนการฉีดไขมัน หลังจากพ้นช่วง 1 เดือนไปแล้ว ไขมันส่วนที่ปลูกถ่ายไม่ติดจะสลายไป ส่วนที่ปลูกติดจะมีเส้นเลือดไปเลี้ยงเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อผิวหนัง ทำให้ไขมันในส่วนนี้อยู่ได้นานมาก ประมาณ 3 – 5 ปี หรือบางรายผลการรักษาอาจอยู่นานเป็น 10 ปีก็มีเช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าการสะสมไขมันของร่างกายเป็นอย่างไร เพราะไขมันที่ปลูกถ่ายเข้าไปในร่างกายก็สามารถสลายได้เหมือนกับไขมันในส่วนอื่นๆ ตามปกติ
สรุปแล้วควรเลือกฉีดฟิลเลอร์หรือฉีดไขมัน?
การตัดสินใจว่าควรฉีดฟิลเลอร์ หรือฉีดไขมันดี จะขึ้นอยู่กับว่าต้องการปรับเปลี่ยนในส่วนไหน ถ้าต้องการปรับโครงหน้า อยากให้เครื่องหน้าชัดขึ้น อยากทำปากอวบอิ่ม ปากกระจับ ยกมุมปาก ยกกระชับส่วนที่เหี่ยวย่นตามอายุ ก็ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่มีแนวโน้มจะให้ผลการรักษาที่ดีกว่า
แต่หากต้องการเพิ่มเนื้อให้ผิวเต่งตึงขึ้น ปรับให้ใบหน้าดูโค้งมน ดูเด็กมากขึ้น บำรุงผิวให้อ่อนเยาว์มากขึ้น การฉีดไขมันก็จะตอบโจทย์มากกว่า
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจจะฉีดฟิลเลอร์ หรือฉีดไขมัน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีด เพื่อพูดคุยถึงความต้องการว่าต้องการปรับใบหน้าส่วนไหน แก้ปัญหาผิวหนังใด และอยากได้ผลลัพธ์อย่างไร เพื่อที่แพทย์จะได้ประเมินว่าสามารถแก้ไขด้วยหัตถการใดได้บ้าง ควรฉีดฟิลเลอร์ ฉีดไขมัน หรือมีวิธีอื่นๆ ที่เหมาะสมกว่าหรือไม่ เพื่อให้ผู้เข้ารับการรักษาได้ผลการรักษาที่ดี และมั่นใจในตนเองมากขึ้น
ต้องการปรึกษาแพทย์ผิวหนังเรื่องการฉีดฟิลเลอร์ ฉีดไขมัน หรือปัญหาเกี่ยวกับความสวยความงาม สามารถขอคำปรึกษาจากแพทย์ได้ที่แอปพลิเคชัน SkinX แอปพลิเคชันที่ทำให้คุณสามารถเลือกปรึกษากับแพทย์ผิวหนังกว่า 210 ท่านได้ง่ายๆ ผ่านระบบออนไลน์ สะดวก ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องรอคิว และสามารถปรึกษาครั้งแรกได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย!
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก
Lucas, J. (2015, December 2). Facial fat grafting vs facial fillers. American Society of Plastic
Surgeons. https://www.plasticsurgery.org/news/blog/facial-fat-grafting-vs-facial-fillers#:~:
text=ease%20and%20convenience.-,It%27s%20a%20case%2Dby%2Dcase%20decision,-
So%20when%20do
Sawan, K. (2021, July 13). Fat Injections Or Fillers? What’s Better For My Face?. Sawan Surgical
Aesthetics. https://ssa.care/blog/fat-injections-or-fillers-whats-better-for-my-face#:~:text=
Do%20fillers%20or%20fat%20injections%20last%20longer%3F
Fat Grafting or Fillers: Which procedure is better for facial rejuvenation?. (2018, February 11).
Thomassen Plastic Surgery. https://thomassenplasticsurgery.com/fat-grafting-fillers-
procedure-better-facial-rejuvenation/