ทำความรู้จัก ผื่นคัน ผื่นแพ้ ลักษณะต่าง ๆ พร้อมวิธีรักษาและป้องกัน
ด้วยสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่และเต็มไปด้วยมลภาวะ ทำให้หลายคนอาจกำลังประสบปัญหาที่ทำให้รำคาญใจอย่าง “ผื่นคัน” ลักษณะอาการผิดปกติที่ร่างกายเราแสดงออกมาทางผิวหนัง ซึ่งการเกิดผื่นคันนั้นมีลักษณะ อาการ สาเหตุ รวมถึงการรักษาที่แตกต่างกัน หากแยกแยะและเข้าใจประเภทของผื่นได้ถูกต้อง จะช่วยให้การวินิจฉัยและรักษาผื่นคันทำได้แม่นยำยิ่งขึ้น
Key Takeaways:
- ผื่นคัน คือ อาการทางผิวหนังประเภทหนึ่ง มีหลายลักษณะ เช่น เป็นตุ่มนูนแดงคัน ตุ่มเล็ก ๆ ตุ่มน้ำ หรือจุดเลือดออก
- อาการผื่นคันเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ ตั้งแต่ผิวหนังแห้ง, อาการแพ้สาร, แพ้ยา, แมลงกัดต่อย, การติดเชื้อ, โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน หรือความผิดปกติทางพันธุกรรม
- การรักษาผื่นคันขึ้นกับสาเหตุที่ก่อให้เกิดผื่น มีตั้งแต่การใช้ยาแก้แพ้ ยาแก้คัน ไปจนถึงการใช้ยาสเตียรอยด์และยากดภูมิคุ้มกัน
- เราสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดผื่นคันได้ด้วยการดูแลผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ และหลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม
ผื่นคัน คืออะไร?
ผื่นคัน คือความผิดปกติหรือการตอบสนองต่อสิ่งเร้า ที่ร่างกายของเราแสดงออกมาผ่านทางผิวหนัง สามารถเกิดเพียงเฉพาะจุด เช่น ผิวหนัา แขน ขา หรืออาจเกิดขึ้นกระจายทั่วร่างกาย บนผิวที่มีผื่นคันจะมีสีหรือสัมผัสของผิวที่เปลี่ยนไปจากเดิม ลักษณะที่ปรากฏขึ้นนั้นอาจมีสีแดงเป็นจุด ตุ่มน้ำใส ตุ่มแดงนูน หรืออื่น ๆ ขึ้นกับสาเหตุที่ก่อให้เกิดผื่นคัน
ลักษณะของผื่นคันมีแบบไหนบ้าง?
ผื่นคัน ผื่นแพ้ มีหลายรูปแบบ ซึ่งในที่นี้จะเสนอรูปแบบของผื่นผิวหนังที่มีอาการแดงหรือคัน 6 แบบ ดังนี้
ผื่นแดงคัน แบบจุดตุ่มแดง Morbilliform
ผื่นแดงคันลักษณะนี้เป็นลักษณะผื่นคันที่พบได้บ่อย อาจเจอในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย หน้าตาของผื่นแดงคันแบบนี้นั้นจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีแดง หรือบางครั้งอาจมีตุ่มใสร่วมด้วย ผู้ที่มีผื่นแดงคันมักจะมีอาการคันตามตัว เมื่อผื่นแห้งก็อาจตกสะเก็ดได้ สามารถพบได้ทั่วร่างกาย อาจมีผื่นขึ้นตามตัวแบบกระจายหรือขึ้นเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง
โดยผื่นแดงคันมักเกิดจากการอักเสบของผิวหนังที่มาจากการแพ้สารก่อแพ้ สารก่อระคายเคือง แพ้ครีมทาผิว แพ้ยา แมลงสัตว์กัดต่อย หรือแม้แต่การติดเชื้อและโรคผิวหนังบางชนิด เช่นหัด ก็สามารถปรากฏผื่นแดงคันแบบนี้ได้เช่นกัน
นอกจากนี้ผื่นแดงคันในผู้ป่วยบางราย ยังสามารถเกิดขึ้นได้ และทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อภูมิคุ้มกันของเราตกจากความเครียด หรือการนอนไม่เพียงพออีกด้วย
ผื่นลมพิษ (Urticaria)
ผื่นลมพิษเป็นผื่นคันที่มีลักษณะเป็นจุด ๆ หรือเป็นปื้นใหญ่นูนสีแดง ไม่มีขุยหรือสะเก็ด ผู้ที่มีผื่นลมพิษจะมีอาการคันมาก ยิ่งเกาผื่นคันยิ่งลุกลาม และมักจะเกิดเฉพาะจุด เช่น ผื่นคันที่ขาหรือผื่นขึ้นแขน แต่ระยะเวลาในการเกิดผื่นคันลมพิษนั้นจะไม่ถึง 24 ชั่วโมงและยุบหายได้เอง ไม่ทิ้งรอย
โดยสาเหตุของการเกิดผื่นลมพิษนั้น อาจมาจากการแพ้สารสัมผัส เช่น แพ้ฝุ่น แพ้หญ้า แพ้ขนสัตว์ แพ้สารเคมีต่าง ๆ แพ้อาหาร แพ้ยา หรือแพ้พิษแมลง เป็นต้น ทั้งนี้ผู้ที่เกิดผื่นคันลมพิษควรจะต้องสังเกตตนเองว่าก่อนที่จะเกิดผื่นลมพิษได้ทำอะไรหรือไปสัมผัสอะไรมาหรือไม่ และมีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่อาจมีอาการขึ้นมาเอง หาสาเหตุไม่พบ ในกรณีที่มีอาการร่วมรุนแรง เช่น หายใจลำบาก ปวดท้อง จะต้องรีบพบแพทย์ทันที
ผื่นตุ่มน้ำ (Dyshidrotic Eczema)
ผื่นตุ่มน้ำมีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ เป็นกลุ่ม คัน ข้างในมีน้ำใส ๆ อยู่ พบบ่อยที่บริเวณมือและเท้า หากตุ่มใสแตกอาจทำให้ติดเชื้อและกลายเป็นหนอง โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดผื่นคันลักษณะนี้มักมาจากการแพ้สารสัมผัส สัมพันธ์กับการสูดดมควันบุหรี่ หรือเกิดขึ้นเองจากภายในโดยไม่ทราบสาเหตุก็ได้เช่นกัน
ผื่นพอง ตุ่มใส (Vesiculobullous Eruption)
ผื่นพองตุ่มใสจะมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำพองนูนขึ้นมาจากผิวหนัง สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ ทั้งการติดเชื้อ (อีสุกอีใส, เริม) การสัมผัสกับสารก่อระคายเคือง การที่ผิวเสียดสีจนพอง หรือแม้แต่โรคที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันก็สามารถทำให้เกิดผื่นคันลักษณะนี้ได้เช่นกัน
ผื่นแดง เป็นเส้นใย (Livedo Reticularis)
ผื่นแดงเป็นเส้นใยเป็นผื่นที่พบได้ไม่บ่อย มีลักษณะเป็นผื่นรอยคล้ายจ้ำเลือด หรือมีลักษณะร่างแห ผื่นแดงเส้นใยนี้อาจไม่มีอาการ หรือมีอาการคัน กดเจ็บ หากอาการรุนแรงผื่นอาจมีขนาดใหญ่และพอง หลังผื่นยุบอาจไม่ทิ้งรอยแผลเป็น หรืออาจก่อให้เกิดแผลเป็น และกรณีร้ายแรงอาจทำให้ผิวหนังที่มีแผลนั้นขาดเลือดได้
โดยสาเหตุเกิดจากการไหลเวียนเลือดที่ผิดปกติจากโรคหลอดเลือดอักเสบ หากพบว่ามีผื่นแดงลักษณะนี้ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว เนื่องจากการอักเสบของหลอดเลือดที่ผิวหนังเป็นเพียงอาการหนึ่งที่แสดงให้เห็นเท่านั้น มีโอกาสที่หลอดเลือดของอวัยวะภายในจะอักเสบ และนำไปสู่โรคเรื้อรังอื่น ๆ ได้อีกด้วย
ผื่นแดง จุดเลือดออกใต้ผิวหนัง (Vasculitis)
ผื่นแดงจุดเลือดออกใต้ผิวหนังมีลักษณะเป็นจุดเลือดเล็ก ๆ กระจายทั่วผิวหนัง มักมีสีแดงเข้ม กดแล้วสีผื่นไม่จาง หากอาการรุนแรงผื่นอาจมีขนาดใหญ่ นูนแดง คัน หรือพองร่วมด้วย โดยส่วนมากมักเกิดขึ้นกับขาทั้งสองข้าง และมีโอกาสที่จะลามขึ้นมายังเอวหรือช่วงลำตัวได้เช่นกัน เมื่อผื่นยุบจะไม่เหลือรอยทิ้งไว้ ยกเว้นกรณีที่มีอาการผื่นรุนแรงอาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้ได้
โดยผื่นคันประเภทนี้เกิดจากเส้นเลือดฝอยอักเสบใต้ผิวหนัง ซึ่งสาเหตุของเส้นเลือดฝอยอักเสบนั้นอาจเกิดจากโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น SLE หรือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น ไวรัสตับอักเสบ รวมถึงความผิดปกติทางพันธุกรรม ผู้ที่มีผื่นคันประเภทนี้ควรจะต้องรีบพบแพทย์และติดตามอาการอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อวัยวะภายในจะมีหลอดเลือดอักเสบร่วมด้วย
เกิดผื่นคันแบบไหนต้องรีบพบแพทย์
ปกติแล้วอาการผื่นคันมักมีอาการไม่รุนแรง สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการทายาแก้คันหรือทานยาแก้แพ้ได้ อย่างไรก็ตาม หากมีผื่นคันร่วมกับอาการดังต่อไปนี้ควรพบแพทย์โดยเร็ว เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณจากโรคอันตรายที่จำเป็นต้องรับการรักษาโดยแพทย์ เช่น
- อาการปวดท้องรุนแรง
- หายใจลำบาก
- มีไข้สูง อ่อนเพลีย
- ปวดตามข้อ ข้อบวม
- ปัสสาวะเป็นเลือด
- มีหนอง ผิวหนังเปลี่ยนสี
- เป็นผื่นบริเวณอวัยวะเพศหรือช่องปาก
- ปากบวม ตาบวม
- ผื่นตุ่มน้ำ มีแผลพุพอง
นอกจากนี้หากผื่นคันมีความรุนแรง เช่น มีอาการคันจนรบกวนชีวิตประจำวัน เป็นผื่นคันนานติดต่อกันเกิน 2 สัปดาห์ ก็ควรจะพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาเช่นกัน
การวินิจฉัยผื่นคัน และคัดกรองโรค
ผื่นแดงอักเสบคันแต่ละประเภทนั้นมีสาเหตุที่แตกต่างกัน การวินิจฉัยหาสาเหตุของการเกิดผื่นคันจะทำให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดยแนวทางการวินิจฉัยและคัดกรองโรคมีดังนี้
ซักประวัติ
แพทย์ทำการซักประวัติคนไข้ โดยอาจสอบถามไปถึงลักษณะการใช้ชีวิตประจำวัน การรับประทานอาหาร ว่ามีพฤติกรรมใดที่มีโอกาสสอดคล้องกับการเกิดผื่นคันหรือไม่
ทดสอบผื่นแพ้ผิวหนัง
กรณีที่ต้องการทราบสารใดที่ก่อให้เกิดอาการผื่นคัน สามารถตรวจได้ด้วยการทำทดสอบ 2 ชนิด คือ Prick Test และ Patch Test หรือทดสอบการแพ้ผิวหนังชนิดที่ 1 และ การแพ้ผิวหนังชนิดที่ 4 ตามลำดับ
โดยวิธีการทดสอบ Prick test แพทย์จะนำสารก่อภูมิแพ้ชนิดน้ำยาหยดบนท้องแขน หรือหลังของคนไข้ จากนั้นใช้เข็มสะกิดก่อนที่จะซับน้ำยาออกจากผิว และสังเกตที่ผิวว่าเกิดผื่นขึ้นหลังหรือขึ้นท้องแขนที่สารก่อภูมิแพ้ชนิดใด ซึ่งการทดสอบนี้ มักใช้ทดสอบในคนไข้ที่มีผื่นลมพิษ หรือโรคภูมิแพ้ผิวหนัง แพ้อาหาร หรือสัตว์
ส่วนการทดสอบ Patch test ทำโดยการแปะสารก่อภูมิแพ้ที่แผ่นหลังเป็นระยะเวลา 2 วัน แล้วติดตามอ่านผลโดยแพทย์ ว่ามีสารใดกระตุ้นทำให้เกิดการแพ้หรือไม่ ซึ่งการทดสอบแบบนี้ จะช่วยวินิจฉัยโรคผื่นแพ้สัมผัส ผื่นแพ้เครื่องสำอาง หรือสารภายนอกที่ทำให้เกิดผื่นผิวหนังอักเสบ
ตรวจเลือด
กรณีที่คนไข้ไม่เข้าข่ายการตรวจด้วยการทำทดสอบผิวหนังที่กล่าวมาได้ หรือมีโอกาสที่ผื่นคันจะเป็นสัญญาณของโรคอันตราย เช่น SLE, ไวรัสตับอักเสบ, มะเร็ง ฯลฯ แพทย์จะเก็บตัวอย่างเลือดจากคนไข้เพื่อนำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ เพื่อหาสาเหตุของผื่นเพิ่มเติม
ตัดชิ้นเนื้อ
คนไข้ที่มาพบแพทย์ในช่วงที่ผื่นคันกำลังขึ้น หากแพทย์สงสัยว่าจะเป็นผื่นคันจากหลอดเลือดอักเสบ หรือโรคอื่น ๆ ที่ไม่สามารถวินิจฉัยได้ด้วยตาเปล่า อาจมีการผ่าตัดเก็บชิ้นเนื้อบริเวณที่เป็นผื่นคัน และนำไปตรวจภายใต้กล้องจุลทรรศน์ เพื่อการวินิจฉัยโรค
แนวทางการรักษาผื่นคัน
การรักษาผื่นคันขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ก่อให้เกิดผื่นคัน หากเป็นผื่นคันที่เกิดจากการแพ้สัมผัส หรือภูมิแพ้ผิวหนัง ก็สามารถใช้ยาต้านฮิสตามีนได้ทั้งชนิดทาและชนิดรับประทาน หากมีอาการรุนแรงแพทย์อาจจ่ายยาสเตียรอยด์เพื่อลดอาการคันได้
แต่หากผื่นคันที่เกิดขึ้นเป็นอาการของโรคอันตราย การรักษาผื่นคันนั้นจะต้องรักษาตั้งแต่โรคต้นเหตุที่ก่อให้เกิดอาการผื่นคัน เช่น หากเป็นโรค SLE แพทย์อาจจ่ายยากดภูมิคุ้มกันเพื่อลดปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันทำลายอวัยวะตนเอง เป็นต้น
การดูแลผิว ป้องกันผื่นคัน
เราสามารถดูแลตนเองป้องกันการเกิดผื่นคันได้ด้วยวิธีดังนี้
- อย่าปล่อยให้ผิวแห้ง พยายามรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน หรืออยู่ในที่อากาศแห้งเย็นจนเกินไป
- ทำความสะอาดร่างกาย เสื้อผ้า เครื่องนอนและของใช้ส่วนตัวอยู่เสมอ ลดการสะสมของสารก่อภูมิแพ้และเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดผื่นคัน
- ระมัดระวังการใช้เครื่องสำอางและสกินแคร์ ไม่เปลี่ยนยี่ห้อบ่อย ๆ และควรใช้ของที่มีคุณภาพ ก่อนใช้ก็ควรจะทดสอบอาการแพ้เสียก่อน
- ไม่อยู่ในที่อับชื้น หรือแหล่งที่อาจมีสัตว์แมลงอาศัยอยู่
- หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ สารเคมีต่าง ๆ
- ห้ามเกาผิว เพราะอาจทำให้ผื่นคันลุกลามมากขึ้น หรือติดเชื้อเพิ่มเติมได้
ผื่นคัน รู้สาเหตุ ป้องกันได้
ผื่นคันเป็นอาการที่ดูแล้วจะไม่รุนแรง แต่หากปล่อยปละละเลยและไม่หาสาเหตุที่ก่อให้เกิดผื่นคันอย่างแท้จริง อาจก่อให้เกิดอาการรุนแรงจนรักษาได้ยากขึ้น ดังนั้นหากใครที่มีผื่นคัน ควรจะสังเกตตนเอง และถ้ามีอาการแทรกซ้อนหรือรุนแรงขึ้น ก็ควรเข้ามาพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป
ในเบื้องต้น หากกังวลใจเรื่องผื่นคัน แต่ไม่มีเวลาเดินทางพบแพทย์ สามารถดาวน์โหลดแอป SkinX เพื่อขอคำปรึกษากับแพทย์ผิวหนังออนไลน์ได้เลย ทุกที่ ทุกเวลา หากมียาก็สามารถสั่งซื้อและจัดส่งให้ถึงที่
อ้างอิง
Fathi, R. (2022, November 30). Rash. pennmedicine. https://www.pennmedicine.org/for-patients-and-visitors/patient-information/conditions-treated-a-to-z/rash
Newman, T. (2023, November 17). What is causing my rash? 71 possible causes. MedicalNewsToday. https://www.medicalnewstoday.com/articles/317999#autoimmune-diseases