รอยสิว คืออะไร ? หาคำตอบ และวิธีรักษารอยสิวไปพร้อมกันกับ SkinX
คนที่เคยเป็นสิวส่วนใหญ่น่าจะรู้จัก “รอยสิว” เป็นอย่างดี รอยสิวสามารถเกิดขึ้นหลังจากการรักษาสิวหายแล้ว หรืออาจเกิดขึ้นขณะที่กำลังเป็นสิวอักเสบหรือสิวอุดตันอยู่ ซึ่งการรักษาสิวที่ผิดวิธีอาจทิ้งรอยสิวหลังการรักษาไว้ได้ ทั้งนี้รอยสิวมีทั้งรอยดำรอยแดงจากสิว และรอยหลุมสิว
รอยสิวส่วนใหญ่เป็นปัญหากวนใจของคนเป็นสิว แม้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง แต่ก็ทำให้ผู้ที่มีรอยสิวขาดความมั่นใจในตัวเองได้ การเข้าใจกลไกของการเกิดรอยสิว และการรักษาอย่างถูกวิธีจะช่วยให้รอยสิวจางลงได้เร็วขึ้น บทความนี้จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจการเกิดรอยสิว ประเภทของรอยสิว พร้อมแชร์เคล็ดลับการรักษารอยสิวอย่างถูกวิธีจากแพทย์เฉพาะทาง ที่จะช่วยให้รอยสิวหายได้เร็วมากขึ้น
สรุป รอยสิว ปัญหากวนใจของคนเป็นสิว
- รอยสิว มีลักษณะเป็นรอยดำ รอยแดง และรอยหลุมสิว สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งหลังการรักษาสิวและขณะเป็นสิวอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสิวอักเสบหรือสิวอุดตันก็ตาม
- รอยสิวแต่ละประเภทมีสาเหตุการเกิดที่แตกต่างกัน แต่สาเหตุหลัก ๆ นั้นมาจากการอักเสบของผิว กระบวนการฟื้นฟูผิวหนังที่อักเสบ และการเกิดสิวซึ่งอาจทิ้งรอยสิวไว้ได้หลังสิวหาย
- การรักษารอยสิวนั้นมีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับรอยสิวแต่ละประเภท เช่น การใช้ยาทาภายนอก, การเลเซอร์, การฉีดสเตียรอยด์, การใช้กรดลอกผิว, การปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เป็นต้น
- วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิว สามารถทำได้โดยหลีกเลี่ยงการแกะ บีบ หรือกดสิวด้วยตนเอง, หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินอีปริมาณสูงกับผิวโดยตรง, หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด, ใช้สกินแคร์ที่เหมาะกับสภาพผิว และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการรักษาสิวและรอยสิวอย่างเคร่งครัด
เผยความลับ “รอยสิว” เกิดจากอะไร ?
ผู้ที่เป็นสิวส่วนใหญ่มักได้รับผลกระทบจากรอยสิว แม้จะไม่อันตรายร้ายแรงถึงแก่ชีวิต แต่ก็ทำให้เสียความมั่นใจในตนเองได้ การเกิดรอยสิวแต่ละประเภท ไม่ว่าจะเป็น รอยดำ รอยแดง หรือรอยหลุมสิว ล้วนมีสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่เกิดได้จากสาเหตุดังต่อไปนี้
- การอักเสบของผิวหนัง
- กระบวนการซ่อมแซมบาดแผล และการฟื้นฟูผิวหนังที่อักเสบ
- การเกิดสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ เมื่อสิวหายจึงทิ้งรอยสิวเอาไว้
ประเภทของรอยสิว และสาเหตุของการเกิดรอยสิว
ประเภทของรอยสิวและสาเหตุการเกิดรอยสิว สามารถแบ่งได้ตามอาการและลักษณะของรอยสิว ดังนี้
1. รอยแดง (Post – Inflammatory Erythema)
รอยแดงจากสิว มีทั้งสีแดง ชมพู หรือสีม่วง ส่วนใหญ่มักเกิดจากการอักเสบของผิวหนังบริเวณนั้น กลไกของการเกิดสิว ได้แก่
- ต่อมไขมันผลิตน้ำมัน (Sebum) ออกมามากเกินไป จนทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน
- การอุดตันของน้ำมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และเชื้อแบคทีเรีย อาจทำให้ผิวหนังอักเสบจนกลายเป็นสิวอักเสบ
เมื่อผิวหนังเกิดการอักเสบ ร่างกายจะเริ่มกระบวนการฟื้นฟูตัวเองด้วยการลำเลียงเลือดไปยังบริเวณที่มีการอักเสบเพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ทำให้บริเวณนั้นเกิดการขยายตัวของหลอดเลือดใต้ผิวหนัง จึงทำให้ผิวหนังเกิดรอยแดงขึ้น ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี อาจทำให้ผิวเกิดรอยแดงถาวรได้
2. รอยดำ (Post – Inflammatory Hyperpigmentation)
สาเหตุของการเกิดรอยดำจากสิว มีดังนี้
- การอักเสบหรือการระคายเคืองของผิวหนัง
- การอักเสบจะกระตุ้นให้เมลาโนไซต์ (Melanocytes) ผลิตเมลานินมากกว่าปกติ
- เมื่อมีการผลิตเมลานินมากกว่าปกติ จะทำให้เกิดรอยดำจากสิว
- รอยดำ เป็นการอักเสบบริเวณผิวชั้นผิวหนังแท้ จึงใช้เวลารักษานานกว่ารอยแดง
นอกจากการอักเสบของผิวหนังแล้ว การใช้เลเซอร์อย่าง pico laser หรือการบำบัดด้วยแสงบางชนิดก็ทำให้เกิดรอยดำได้เช่นกัน
Fact : เมลาโนไซต์ (Melanocytes) เป็นเซลล์ที่ผลิตเมลานิน ซึ่งเป็นเม็ดสีใต้ผิวหนังที่ช่วยปกป้องร่างกายจากรังสี UV จากดวงอาทิตย์ ปริมาณเมลานินจะเป็นตัวกำหนดสีผิวของคนเรา คนที่มีผิวสีอ่อนจะผลิตเมลานินได้น้อยมาก ในขณะที่คนมีสีผิวคล้ำจะสร้างเมลานินได้มากกว่า จึงเกิดรอยดำได้ง่ายกว่า
3. รอยหลุมสิว (Atrophic Scars)
รอยหลุมสิว คือ รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว โดยเฉพาะสิวอักเสบ เกิดจากกระบวนการรักษาแผลบริเวณที่เป็นสิว โดยร่างกายจะสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่เพื่อสมานแผล แต่ส่วนใหญ่กระบวนการซ่อมแซมบาดแผลมักไม่เรียบเนียนเหมือนผิวหนังในตอนแรก เพราะเกิดการบาดเจ็บในชั้นผิวหนังที่อยู่ลึกลงไป คอลลาเจนและเนื้อเยื่อที่สร้างไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดเป็นรอยหลุมสิวในที่สุด
รอยหลุมสิวแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ
- Rolling Scars มีลักษณะหลุมสิวที่มีรอยแผลกว้าง มีรูปร่างคล้ายคลื่น
- Ice-pick Scars มีลักษณะหลุมสิวที่มีรอยแผลลึก ปากแผลแคบ มักพบบริเวณแก้ม ถือเป็นหลุมสิวรุนแรงและรักษาค่อนข้างยาก
- Boxcar Scars เป็นรอยหลุมสิวที่มีรอยแผลกว้าง มีทั้งรอยหลุมตื้นและรอยหลุมลึก
- Keloid Scars รอยแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นเนื้อนูนแข็ง มีสีชมพู สีแดง หรืออาจมีสีเนื้อเข้มกว่าผิวหนัง มักเกิดจากแผลที่ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้
12 วิธี รักษารอยสิวอย่างไร ให้หน้ากลับมาเรียบเนียน
รอยแดงจากสิวใช้อะไรดี ? ทาง SkinX ได้รวบรวม 12 วิธีลดรอยสิว รักษารอยแดงจากสิว และรักษารอยดำจากสิว มีดังนี้
1. ใช้ยาทาภายนอกรักษารอยสิว
เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสารประกอบช่วยลบเลือนรอยสิว ดังนี้
- Topical vitamin C ช่วยลดรอยแดงที่เกิดจากรังสี UVB ได้ ทั้งยังช่วยลดการอักเสบและป้องกันรอยแดงที่เกิดจากสิว
- Retinoids ช่วยยับยั้งกระบวนการผลิตเม็ดสีในเซลล์ผิวได้ และช่วยเร่งการผลัดเซลล์ ทำให้รอยดำลดลง
- Kojic acid เป็นสารจากเห็ดที่ช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ และช่วยลดรอยดำให้จางลง
- Arbutin เป็นสารสกัดธรรมชาติจากต้นแบร์เบอร์รี่, บลูเบอร์รี่, ข้าวสาลี และแพร์ ช่วยลดจุดด่างดำจากการอักเสบของผิวหนังหรือการอักเสบจากสิว
- Niacinamide หรือที่รู้จักในชื่อ “วิตามินบี 3” มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ลดรอยแดงจากสิว และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
- Thiamidol ช่วยลดรอยดำ และลดความหยาบกร้านของผิว
- Nicotinamide ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และลดการอักเสบของผิวหนัง
2. เลเซอร์รักษารอยสิว
การรักษารอยสิวด้วยเลเซอร์หน้าใส สามารถรักษารอยสิวและแก้ปัญหาผิวได้ ดังนี้
- รักษาได้ทั้งรอยดำ รอยแดง และรอยหลุมสิว โดยกระตุ้นให้เซลล์ผิวเกิดใหม่ และแข็งแรงมากขึ้น เพื่อมาทดแทนรอยแผลเดิม
- ช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนัง
- บรรเทาความรุนแรงของสิวอุดตัน และสิวอักเสบได้
แม้วิธีรักษารอยสิวด้วยเลเซอร์จะเป็นวิธีที่ไม่รู้สึกเจ็บ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่หลายประการ ดังนี้
- ต้องทำหลายครั้ง
- ราคาค่อนข้างแพง
- อาจทำให้เกิดรอยแดงและการระคายเคืองหลังการรักษา แต่จะค่อย ๆ หายไปเอง
- เลเซอร์อาจทำให้ดวงตาได้รับบาดเจ็บได้ ในขณะที่ใช้เลเซอร์รักษาสิว จึงจำเป็นต้องสวมแว่นตาเพื่อป้องกัน
3. Microneedling
เป็นเทคนิครักษารอยหลุมสิวที่แพทย์จะใช้เข็มเล็ก ๆ ทิ่มเข้าไปซ้ำ ๆ ในบริเวณที่ต้องการทำให้เกิดบาดแผลเล็ก ๆ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนังมาสมานบาดแผล วิธีนี้รักษาได้ทั้งแผลจากสิวอักเสบและแผลเป็นจากสิว
4. Dermabrasion
เทคนิคที่ใช้การผ่าตัดผิวหนังเพื่อรักษารอยแผลเป็น โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือกรอขัดผิวหนังส่วนที่เป็นรอยสิวออกไปในสภาพเรียบเนียนและใกล้เคียงกับผิวบริเวณนั้นมากที่สุด เพื่อให้ผิวได้ผลัดเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน ปัจจุบันวิธี Dermabrasion นี้ถูกใช้น้อยลง เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายประการ ดังนี้
- เป็นการรักษาด้วยวิธีทางกายภาพ
- ต้องรักษาลึกลงไปถึงบริเวณใต้รอยแผลเป็น
- ใช้เวลาพักฟื้นนาน
- เสี่ยงต่อการเกิดอาการแทรกซ้อน
5. การฉีดสเตียรอยด์
มักใช้รักษารอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว โดยเฉพาะแผลเป็นคีลอยด์ แพทย์จะทำการฉีดสารคอร์ติโคสเตียรอยด์เข้าไปที่แผลเป็น เพื่อช่วยให้คีลอยด์ยุบตัวลง แม้จะเป็นวิธีที่ไม่เจ็บมาก แต่อาจทำให้แผลเป็นแดงได้ เนื่องจากสเตียรอยด์จะไปกระตุ้นให้สร้างหลอดเลือดแดงใกล้ชั้นผิวมากขึ้น
6. การฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์ ช่วยให้รอยหลุมสิวดูตื้นขึ้นได้ โดยใช้ Hyaluronic Acid เข้าไปเติมเต็มหลุมสิว การรักษาด้วยวิธีนี้จำเป็นต้องตัดพังผืดที่คอยดึงรั้งผิวหนังออกไปก่อน เพื่อให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดช่องว่าง และแพทย์จะทำการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปเพื่อเติมเต็มช่องว่างนั้น ซึ่งช่วยให้บริเวณที่เป็นหลุมดูตื้นขึ้นในทันที
7. Cryotherapy
การบำบัดด้วยความเย็นนอกจากจะรักษารอยสิวได้แล้ว ยังใช้รักษาสิวผดได้ด้วย โดยแพทย์จะใช้เครื่องพ่นไนโตรเจนเหลวหรือคาร์บอนไดออกไซด์อุณหภูมิต่ำไปยังจุดที่ต้องการรักษาเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อทำให้เซลล์ผิวบริเวณนั้นตาย และสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ วิธีนี้มักใช้รักษาควบคู่ไปกับวิธีรักษาแบบอื่น เช่น การฉีดสเตียรอยด์
8. การผ่าตัด
นิยมใช้รักษากับรอยหลุมสิวประเภท Ice-pick scars และ Boxcar scar โดยแพทย์จะตัดแผลออกไป และทำการเย็บผิวหนังให้ติดเข้าหากัน
9. ใช้กรดลอกผิวรักษารอยสิว
วิธีนี้จะใช้สารประกอบเคมี 3 ชนิด ได้แก่ Glycolic Acid, Salicy Acid และ Trichlooacetic Acid กระตุ้นให้ผิวหนังชั้นนอกหลุดออกไป โดยสารดังกล่าวมีคุณสมบัติดังนี้
- ละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ที่สกัดจากผลไม้
- ละลายได้ดีเมื่อทาลงบนผิว
- สามารถสลายโปรตีนผิวหนังได้
10. ใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของคอร์ติโซน
คอร์ติโซนจะช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง ทำให้รอยแดงจากสิวจางลง และช่วยให้รอยสิวยุบตัวลง จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหารอยแดงหรือรอยบวม
11. ทาครีมกันแดดทุกครั้ง
การทาครีมกันแดดเป็นการป้องกันรังสี UVB ที่กระตุ้นทำให้เกิดรอยแดงและรอยดำเพิ่มมากขึ้น ผู้ที่ใช้วิธีรักษารอยสิวด้วยเลเซอร์จำเป็นต้องทาครีมกันแดดทุกครั้ง เพราะแสงเลเซอร์ทำให้ผิวหนังบางลง ซึ่งส่งผลให้ผิวโดนทำร้ายจากแสงแดดได้ง่ายขึ้น
12. ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง
การไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทางโดยตรง ถือเป็นการรักษาสิวและรอยสิวที่ได้ผลดีเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการสิวอักเสบรุนแรง เพราะช่วยให้ทราบสาเหตุของรอยสิวและเลือกวิธีรักษาที่ตรงจุด พร้อมช่วยลดการเกิดสิว และเร่งให้ผิวฟื้นฟูได้เร็วมากขึ้น
ปัจจุบันการปรึกษาแพทย์ไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากอีกต่อไป เพราะมีแอปพลิเคชัน SkinX ที่ช่วยให้คุณปรึกษาปัญหาสิวกับแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังกว่า 210 ท่าน จากสถานพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ปรึกษาได้ทุกที่ เพียงดาวน์โหลดแอป SkinX และทำการนัดหมายเวลากับแพทย์ เพียงเท่านี้ ก็สามารถรับคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทาง เพื่อแก้ไขปัญหาสิวที่คอยกวนใจคุณ
วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิว
1. หลีกเลี่ยงการแกะ บีบ กดสิวด้วยตนเอง
การแกะหรือบีบสิว ถือเป็นการกระตุ้นให้เนื้อเยื่อผิวหนังและรูขุมขนอักเสบมากขึ้น ทำให้เกิดเป็นรอยสิวและรอยแผลเป็นจากสิวได้ นอกจากนี้ หากสครับ ถู หรือขัดบริเวณที่เป็นสิวอย่างรุนแรง ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้ผิวหนังอักเสบมากกว่าเดิม ส่งผลให้รอยแดงหายช้า
2. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินอีปริมาณสูง
จากงานวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ทดลองใช้วิตามินอีปริมาณสูงกับผิวโดยตรง จะทำให้เกิดภาวะผื่นแพ้สัมผัส และการนำสารอาหารเข้าสู่ผิวหนังโดยตรง อาจรบกวนกระบวนการฟื้นฟูของผิวได้ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการใช้ผลิตภัณฑ์วิตามินอีให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
3. หลีกเลี่ยงแสงแดด
หากจำเป็นต้องออกแดด ควรทาครีมกันแดดทุกครั้ง พร้อมสวมเครื่องแต่งกายที่ปกคลุมบริเวณที่เป็นรอยสิว และควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 PA ++ ขึ้นไป เนื่องจากแสงแดดส่งผลกระทบต่อผิวและรอยสิวหลายประการ ดังนี้
- กระตุ้นเม็ดสีผิวเพิ่มขึ้น
- ทำให้รอยสิวมีอาการแย่ลง
- ทำให้รอยดำและรอยแดงจากสิว ที่เป็นอยู่ก่อนหน้ารักษาได้ยากขึ้น
- ชะลอกระบวนการฟื้นฟูสภาพผิว
4. เลือกใช้สกินแคร์ให้เหมาะสมกับสภาพผิว
ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ที่ปราศจากส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดการอุดตันหรือการระคายเคือง พร้อมทั้งให้ความชุ่มชื้น ช่วยฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลาย และลดจุดด่างดำและรอยสิว
5. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ผู้ที่มีรอยสิว แนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อประสิทธิภาพในการรักษารอยสิวที่ดีที่สุด และเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดรอยสิวหลังการรักษาสำหรับผู้ที่เป็นสิว
สรุป
เนื่องจากรอยสิวมีหลายประเภท วิธีรักษารอยสิวแต่ละประเภทจึงแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ วิธีรักษารอยสิวที่ดีที่สุดคือ การปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อหาสาเหตุและวิธีรักษาที่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งยังช่วยย่นระยะเวลาในการรักษา สามารถรักษาได้ตรงจุด ทำให้ลดรอยสิวได้เร็วกว่าการรักษาด้วยตนเอง
สำหรับผู้ที่ต้องการพบแพทย์แต่ไม่สะดวกเดินทางหรือไม่มีเวลา แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป SkinX ที่รวบรวมแพทย์ผู้เฉพาะทางด้านผิวหนัง มาให้คำปรึกษาปัญหาสิวกับคุณได้ทุกที่ทุกเวลา สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android แก้ปัญหาสิวกวนใจ เพียงคลิกเดียว!
แหล่งอ้างอิงข้อมูลบางส่วน
Whelan, C. (2020, Dec 4). How to Treat Post – Inflammatory Erythema. Healthline.
https://www.healthline.com/health/acne/post-inflammatory-erythema
Ferreira, M. (2021, Dec 13). How to Best Treat Acne Scars. Healthline.
https://www.healthline.com/health/acne-scars#raised-scars
Brennan, D. (2021, Apr 27). What To Know About Post-Inflammatory Erythema. Healthline.
Emily, D. (2021, Apr 12). What Is Post-Inflammatory ErythemaM These Post-Acne Red SpotsAren’t Scars. The healthy. https://www.thehealthy.com/skin-health/post-inflammatory-erythema/