17 สิงหาคม 2565
รอยสิว คืออะไร ? หาคำตอบ และวิธีรักษารอยสิวไปพร้อมกันกับ SkinX
สำหรับคนที่เคยเป็นสิวส่วนใหญ่น่าจะรู้จัก “รอยสิว” เป็นอย่างดี รอยสิวสามารถเกิดขึ้นหลังจากการรักษา สิว หายแล้ว หรืออาจจะเกิดรอยสิวในขณะที่กำลังเป็นสิวอักเสบ หรือสิวอุดตันอยู่ ซึ่งการ รักษาสิว ที่ผิดวิธีทำให้เกิดรอยสิวทิ้งไว้หลังการรักษาได้ ทั้งนี้รอยสิวมีทั้งแบบรอยแดง รอยดำ และรอยหลุมสิว
รอยสิวส่วนใหญ่เป็นปัญหากวนใจของคนเป็นสิว ถึงแม้ว่ารอยสิวจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง แต่รอยสิวสามารถส่งผลต่อความมั่นใจทำให้ผู้ที่มีรอยสิวขาดความมั่นใจในตัวเอง การเข้าใจกลไกของการเกิดรอยสิว และการรักษารอยสิวอย่างถูกวิธีอาจจะช่วยให้รอยสิวจางลงได้เร็วขึ้น
บทความนี้จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจถึงกลไกการเกิดรอยสิว ประเภทของรอยสิวไม่ว่าจะเป็น รอยดำ รอยแดง หรือรอยแผลเป็นจากสิว พร้อมทั้งแชร์เคล็ดลับวิธีการรักษารอยสิวอย่างถูกวิธี จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่จะช่วยทำให้รอยสิวหายได้เร็วมากขึ้น
สารบัญบทความ
- เผยความลับ “รอยสิว” เกิดจากอะไร ?
- ประเภทของรอยสิว และสาเหตุของการเกิดรอยสิว
- 12 วิธี รักษารอยสิวอย่างไร ให้หน้ากลับมาเรียบเนียน
- วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิว
- สรุป
เผยความลับ “รอยสิว” เกิดจากอะไร ?
ผู้คนจำนวนมากที่เป็นสิวส่วนใหญ่มักได้รับผลกระทบจากรอยสิว อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น แม้ว่ารอยสิวจะไม่ได้อันตรายร้ายแรงถึงแก่ชีวิต แต่รอยสิวสามารถทำให้เสียความมั่นใจในตนเองได้ สาเหตุของการเกิดรอยสิวแต่ละประเภท มีสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป
ซึ่งรอยสิวส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นรอยดำ รอยแดง หรือรอยหลุมสิว มักเกิดจากการอักเสบของผิวหนังและเกิดจากกระบวนการซ่อมแซมบาดแผล ฟื้นฟูผิวหนังที่อักเสบ ทำให้เกิดเป็นรอยสิวต่างๆ รอยสิวส่วนใหญ่มักเกิดจากสิวอุดตัน หรือสิวอักเสบ เมื่อสิวหายจึงทิ้งรอยสิวเอาไว้ เช่น รอยแดง รอยดำ และรอยหลุมสิว
ประเภทของรอยสิว และสาเหตุของการเกิดรอยสิว
สามารถแบ่งประเภทของรอยสิวและสาเหตุการเกิดรอยสิว ได้ตามอาการและลักษณะของรอยสิว ดังนี้
-
รอยแดง (Post – Inflammatory Erythema)
รอยแดงจากสิว มีทั้งสีแดง ชมพู หรือสีม่วงจากสิว ส่วนใหญ่มักมาจากการอักเสบของผิวหนังบริเวณนั้น กลไกของการเกิดสิวคือ การที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมัน (Sebum) ออกมามากเกินไป จนทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน ซึ่งทำให้เกิดสิว และการอุดตันของน้ำมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และแบคทีเชื้ออาจจะทำให้ผิวหนังอักเสบจนกลายเป็นสิวอักเสบ
เมื่อผิวหนังเกิดอาการอักเสบทำให้ร่างกายเริ่มกระบวนการฟื้นฟูตัวเองด้วยการลำเลียงเลือดไปยังบริเวณผิวหนังที่มีการอักเสบ เพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ทำให้บริเวณที่เป็นสิวอักเสบเกิดการขยายตัวของหลอดเลือดที่อยู่ภายใต้ผิวหนัง จึงทำให้ผิวหนังกลายเป็นสีแดง ชมพู ม่วง หรือเกิดรอยแดงขึ้น รอยแดงจากสิวอักเสบหากไม่ได้รับวิธีรักษาที่ถูกวิธีอาจจะทำให้ผิวหนังเป็นรอยแดงอยู่นาน หรืออาจจะเป็นรอยแดงถาวรได้
-
รอยดำ (Post – Inflammatory Hyperpigmentation)
รอยดำจากสิวส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการอักเสบหรือการระคายเคืองของผิวหนัง ซึ่งการอักเสบจะไปกระตุ้นให้เมลาโนไซต์ (Melanocytes) ที่ทำหน้าที่ผลิตเมลานิน ให้ผลิตเมลานินมากกว่าปกติ ทำให้เกิดรอยดำที่บริเวณผิวหนัง ซึ่งรอยดำจากสิวสามารถเป็นได้ทั้งรอยสีดำ สีน้ำตาล หรือสีเทา การเกิดรอยดำเป็นการอักเสบบริเวณผิวหนังชั้นผิวหนังแท้ ซึ่งการรักษาใช้เวลานานและยากกว่าการรักษารอยแดง
นอกจากการสิวอักเสบหรือผิวหนังอักเสบที่ทำให้เกิดรอยดำแล้ว การใช้เลเซอร์หรือการบำบัดด้วยแสงบางชนิดสามารถทำให้เกิดรอยดำได้เช่นกัน
เมลาโนไซต์ (Melanocytes) เป็นเซลล์ที่ผลิตเมลานิน ซึ่งเป็นเม็ดสีเข้มที่ช่วยปกป้องร่างกายจากรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ โดยเมลาโนไซต์ส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ผิวหนัง ซึ่งปริมาณเมลานินเป็นตัวกำหนดสีผิวของคนเรา คนที่มีผิวสีอ่อนจะผลิตเมลานินได้น้อยมาก ในขณะที่คนที่มีสีผิวคล้ำจะสร้างเมลานินได้มากกว่า ซึ่งอาจจะเกิดรอยดำได้ง่ายกว่า
อ่านต่อได้ในบทความ : รอยดำรอยแดงบนใบหน้า คืออะไรกันแน่
-
รอยหลุมสิว (Atrophic Scars)
รอยหลุมสิว คือ รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว มักเกิดจาก สิวอักเสบ โดนเกิดจากกระบวนการการรักษาแผลบริเวณที่เป็นสิวให้ผิวบริเวณนั้นกลับมาเรียบเนียน โดยร่างกายจะสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่เพื่อสมานแผล แต่ส่วนใหญ่กระบวนการซ่อมแซมบาดแผลมักไม่เรียบเนียนเหมือนผิวหนังในตอนแรก เพราะเกิดการบาดเจ็บในชั้นผิวหนังที่อยู่ลึกลงไป คอลลาเจนและเนื้อเยื่อที่สร้างไม่เพียงพอ ทำให้เกิดเป็นรอยหลุมสิวในที่สุด
รอยหลุมสิวสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ
- Rolling Scars มีลักษณะเป็นหลุมสิวที่มีรอยแผลกว้าง รอยหลุมสิวชนิดนี้จะมีรูปร่างคล้ายคลื่น
- Ice – pick Scars มีลักษณะหลุมสิวที่มีรอยแผลลึก ปากแผลแคบ มักพบบริเวณแก้ม ถือเป็นหลุมสิวที่รักษาค่อนข้างยากและรุนแรง
- Boxcar Scars เป็นรอยหลุมสิวที่มีรอยแผลกว้าง มีทั้งแบบรอยหลุมตื้นและรอยหลุมลึก Boxcar scars นอกจากเกิดจากสิว แล้วยังสามารถเกิดได้จากอีสุกอีใสด้วย
- Keloid Scars รอยแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นเนื้อนูนแข็งมีสีชมพู สีแดง หรืออาจจะสีเนื้อเข้มกว่าผิวหนัง แผลที่ทำให้เกิดคีลอยด์มักเป็นแผลที่ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้
โดยปกติแล้ว การซ่อมแซมผิวหนังมักจะไม่เรียบเนียนเหมือนผิวหนังในต่อแรก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะเกิดรอยหลุมสิวจากกระบวนการซ่อมแซมของผิวหนัง
12 วิธี รักษารอยสิวอย่างไร ให้หน้ากลับมาเรียบเนียน
รอยสิวตัวปัญหาที่คอยทำลายความมั่นใจของหลายๆคน รอยแดงจากสิวใช้อะไรดี ?
ทาง SkinX ได้รวบรวม 12 วิธีลดรอยสิว รักษารอยแดงจากสิว และรักษารอยดำจากสิว มีดังนี้
-
ใช้ยาทาภายนอกรักษารอยสิว
เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยลบเลือนรอยสิว ที่มีสารประกอบดังนี้
- Topical vitamin C วิตามินซีสามารถช่วยลดรอยแดงหรืออาการแดงที่เกิดจากรังสีอัลตราไวโอเลตบีได้ (UVB) ช่วยลดการอักเสบและป้องกันรอยแดงที่เกิดจากสิว
- Retinoids เรตินอยด์สามารถยับยั้งกระบวนการผลิตเม็ดสีในเซลล์ผิวได้ และเรตินอยด์ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ที่จะไปช่วยลดเม็ดสีในเซลล์เม็ด ทำให้ลดรอยดำได้ ทั้งนี้ เรตินอยด์เป็นยาที่ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์เพียงเท่านั้น
- Kojic acid เป็นสารจากเห็ดที่สามารถช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ และช่วยลดรอยดำให้จางลง
- Arbutin เป็นสารธรรมชาติที่สกัดมาจากต้นแบร์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ข้าวสาลี และแพร จัดอยู่ในกลุ่มอนุพันธ์ของสาร Hydroquinone สาร Arbutin สามารถออกฤทธิ์ช่วยลดจุดด่างดำที่เกิดขึ้นจากการอักเสบของผิวหนัง หรือการอักเสบจากสิว สามารถพบได้ตามผลิตภัณฑ์เซรั่มที่ช่วยลดรอยสิว
- Niacinamide หรือที่รู้จักในชื่อ “วิตามินบี 3” เป็นสารอีกชนิดที่แพทย์มักใช้รักษาและลดรอยสิว แถมยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ลดรอยแดงจากสิว และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
- Thiamidol ช่วยลดรอยดำ และลดความหยาบกร้านของผิวได้
- Nicotinamide สามารถช่วยให้ผิวกระจ่างใส และลดการอักเสบของผิวหนังลดได้
-
เลเซอร์รักษารอยสิว
การรักษารอยสิวด้วยเลเซอร์สามารถรักษาได้ทั้ง รอยดำ รอยแดง รอยหลุมสิว และช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนังได้ โดยปกติแล้ว แสงเลเซอร์จะรักษารอยสิวที่ผิวหนังชั้นบนและผิวหนังกลาง โดยจะไปกระตุ้นให้เซลล์ผิวเกิดใหม่ และแข็งแรงมากขึ้น เพื่อมาทดแทนรอยแผลเดิม วิธีรักษารอยสิวด้วยเลเซอร์เป็นวิธีที่ปลอดภัยและไม่รู้สึกเจ็บ แต่อาจจะต้องทำหลายๆครั้ง และมีราคาค่อนข้างแพง
การรักษารอยสิวด้วยเลเซอร์อาจจะทำให้เกิดรอยแดง และการระคายเคืองหลังการรักษา แต่รอยแดงจะค่อยๆหายไปเอง ในขณะที่ใช้เลเซอร์รักษาสิว จำเป็นต้องสวมแว่นตาเพื่อป้องกันดวงตาจากแสงเลเซอร์ เนื่องจากเลเซอร์อาจจะทำให้ดวงตาได้รับบาดเจ็บได้ ทั้งนี้เลเซอร์บางชนิดนอกจากจะรักษารอยดำ รอยแดงที่เกิดจากสิวได้แล้ว ยังสามารถช่วยบรรเทาความรุนแรงของสิวอุดตัน และสิวอักเสบได้
-
Microneedling
เป็นเทคนิคที่ใช้รักษารอยหลุมสิวที่ค่อนข้างใหม่ โดยแพทย์จะใช้เข็มเล็กๆ ทิ่มเข้าไปซ้ำๆในบริเวณที่ต้องการทำให้เกิดบาดแผลเล็กๆ กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน (Collagen and Elastin) ใต้ผิวหนัง เพื่อสมานบาดแผล Microneedling รักษาได้ทั้งแผลจากสิวอักเสบ และแผลเป็นจากสิว Microneedling เป็น Invasive procedure เล็กน้อย
-
Dermabrasion
แพทย์จะใช้เครื่องมือกรอขัดผิวหนังส่วนที่เป็นรอยสิวออกไป เพื่อให้ผิวได้ผลัดเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่ถูกขัดออกไป โดยจะทำให้ผิวหนังมีสภาพเรียบเนียนและใกล้เคียงกับผิวบริเวณนั้นมากที่สุด
เนื่องจากปัจจุบันมีการพัฒนาวิธีรักษารอยสิวด้วยเลเซอร์และการบำบัดด้วยแสงมากขึ้น ทำให้ Dermabrasion (การผ่าตัดผิวหนังเพื่อรักษารอยแผลเป็น) ถูกใช้น้อยลง เพราะการ Dermabrasion หรือ การกรอผิว เป็นรักษาด้วยวิธีทางกายภาพ ต้องมีการรักษาลึกลงไปถึงบริเวณใต้รอยแผลเป็น และใช้เวลาพักฟื้นนาน เสี่ยงต่อการเกิดอาการแทรกแซง จึงทำให้การรักษาด้วยวิธีนี้ถูกใช้ในน้อยลงในปัจจุบัน
-
การฉีดสเตียรอยด์
มักใช้วิธีนี้รักษารอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว โดยเฉพาะรอยแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นเนื้อนูนแข็ง (Keloid) โดยแพทย์จะทำการฉีดสารคอร์ติโคสเตียรอยด์ เข้าไปที่แผลเป็นเพื่อช่วยให้คีลอยด์ยุบตัวลง วิธีรักษารอยสิวด้วยการฉีดสเตียรอยด์ เป็นวิธีที่ปลอดภัยและไม่เจ็บมาก แต่มีผลข้างเคียงคือทำให้แผลเป็นแดงได้ เนื่องจากสเตียรอยด์ชนิดที่ฉีดเข้าไปจะไปกระตุ้นให้สร้างหลอดเลือดแดงใกล้ชั้นผิวมากขึ้น
-
การฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์ ช่วยทำให้รอยหลุมสิวที่ลึกดูตื้นขึ้น โดยใช้ Hyaluronic Acid เข้าไปเติมเต็มหลุมสิว แต่การรักษาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ จำเป็นต้องตัดพังผืดที่คอยดึงรั้งผิวหนังออกไปก่อน ซึ่งการเลาะพังผืดจะช่วยให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดช่องว่าง และแพทย์จะทำการฉีดฟิลเลอร์เข้าตรงบริเวณที่เลาะพังผืดออกไปเพื่อเติมเต็มช่องว่าง การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยให้บริเวณที่เป็นหลุมดูตื้นขึ้นในทันที
-
Cryotherapy
วิธีการรักษารอยสิวด้วยการบำบัดด้วยความเย็นนอกจากจะรักษารอยสิวได้แล้ว วิธีนี้ยังสามารถใช้รักษาสิวผดได้ด้วย โดยแพทย์จะใช้เครื่องพ่นไนโตรเจนเหลวหรือคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอุณหภูมิต่ำไปยังจุดที่ต้องการรักษาเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพื่อทำให้เซลล์ผิวบริเวณนั้นตาย และสร้างเซลล์ผิวขึ้นมาใหม่แทนที่ วิธีนี้มักใช้รักษาควบคู่ไปกับวิธีรักษาแบบอื่น เช่น การฉีดสเตียรอยด์
-
การผ่าตัด
เป็นวิธีการรักษาที่โดยตัดแผลออกไป และแพทย์จะทำการเย็บผิวหนังให้ติดเข้าหากัน วิธีนี้นิยมใช้รักษากับรอยหลุมสิว ประเภท Ice – pick scars และ Boxcar scar
-
ใช้กรดลอกผิวรักษารอยสิว
วิธีนี้จะใช้สารประกอบเคมี 3 ชนิด กระตุ้นให้ผิวหนังชั้นนอกหลุดออกไป โดยสารประกอบเคมีที่ใช้กระตุ้น ได้แก่ Glycolic Acid , Salicy Acid และ Trichlooacetic Acid มีคุณสมบัติ ละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ที่สกัดจากผลไม้ , ละลายได้ดีเมื่อทาลงบนผิว และมีคุณสมบัติในการสลายโปรตีนผิวหนัง
-
ใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของคอร์ติโซน
วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยแดง หรือรอยบวม คอร์ติโซนจะช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง ทำให้รอยแดงจากสิวจางลงไป และช่วยให้รอยสิวยุบตัวลง โดยสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ทั้งนี้ แนะนำให้ปรึกษาเภสัชกรเกี่ยวกับวิธีและขั้นตอนการใช้งานก่อนเสมอ
-
ทาครีมกันแดดทุกครั้ง
การทาครีมกันแดดเป็นการป้องกันรังสี UVฺB ที่กระตุ้นทำให้เกิดรอยแดง รอยดำเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้สำหรับคนที่เลือกใช้วิธีรักษารอยสิวด้วยเลเซอร์จำเป็นต้องทาครีมกันแดดทุกครั้ง เพราะแสงเลเซอร์ทำให้ผิวหนังบางลง ซึ่งทำให้ผิวโดนทำร้ายจากแสงแดดได้ง่ายขึ้น
-
ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงถือเป็นการรักษาสิวและรอยสิวที่ปลอดภัยและได้ผลมากที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการสิวอักเสบรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง เนื่องจากการปรึกษาแพทย์จะทำให้ทราบสาเหตุของรอยสิว และช่วยเลือกวิธีรักษาที่ตรงจุดและเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากที่สุด ซึ่งอาจจะช่วยลดการเกิดสิว และเร่งให้ผิวฟื้นฟูได้เร็วมากขึ้น
ปัจจุบันการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยาก และต้องใช้เวลาตลอดทั้งวันเหมือนแต่ก่อน เพราะมีแอปพลิเคชั่น SkinX ที่ช่วยให้คุณปรึกษาปัญหาสิวกับแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังกว่า 210 คน จากสถานพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศ สามารถปรึกษาได้ทุกที่ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เพียงดาวน์โหลดแอป SkinX และทำการนัดหมายเวลากับแพทย์ เพียงเท่านี้ ปัญหาสิวที่คอยกวนใจคุณก็จะหมดไป ด้วยคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทาง
วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิว
-
หลีกเลี่ยงการแกะ บีบ กดสิวด้วยตนเอง
ผู้คนส่วนใหญ่เมื่อเกิด สิวไม่มีหัว ชอบนำมือไปสัมผัสหรือแกะ แต่การแกะหรือบีบสิวถือเป็นการกระตุ้นให้เนื้อเยื่อผิวหนัง และรูขุมขนอักเสบมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เกิดเป็นรอยสิวและรอยแผลเป็นจากสิว การที่ใช้มือบีบ กดสิวบริเวณที่เป็นสิวโดยที่ไม่ได้ล้างมือ ยิ่งเพิ่มโอกาสให้ผิวหนังอักเสบมากกว่าเดิม ส่งผลให้รอยแดงหายช้า
ไม่ใช่เพียงแค่การแกะ บีบ กดสิวเท่านั้น ควรงดการสครับ ถู ขัดบริเวณที่เป็นสิวอย่างรุนแรง ถือเป็นการกระตุ้นให้ผิวหนังอักเสบมากกว่าเดิม
-
หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินอี
จากงานวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างได้ทดลองที่ใช้วิตามินอีกับผิวโดยทำให้เกิดภาวะผื่นแพ้สัมผัส (Contact Dermatitis) นอกจากนี้การนำสารอาหารเข้าสู่ผิวหนังโดยตรงอาจจะรบกวนกระบวนการฟื้นฟูของผิวหนัง
-
หลีกเลี่ยงแสงแดด
แสงแดดสามารถกระตุ้นเม็ดสีผิวเพิ่มขึ้นทำให้รอยสิวมีอาการแย่ลง พร้อมทั้งให้รอยดำ รอยแดงจากสิว ที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้รักษาได้ยากขึ้น และอาจจะชะลอกระบวนการฟื้นฟูสภาพผิว หากจำเป็นต้องออกแดดควรทาครีมกันแดดทุกครั้ง พร้อมสวมเครื่องแต่งกายที่ปกคลุมบริเวณที่เป็นรอยสิว เพื่อป้องกันไม่ให้รอยสิวมีอาการแย่ลง ทั้งนี้ ค่า SPF ที่แนะนำสำหรับครีมกันแดดคือ SPF 30 PA ++ หรือมากขึ้นไป
-
เลือกใช้สกินแคร์ให้เหมาะสมกับสภาพผิว
ควรเลือกใช้สกินแคร์หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่มีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดการอุดตัน ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบหรือระคายเคือง ให้ความชุ่มชื้น พร้อมทั้งช่วยฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลาย ลดจุดด่างดำและรอยสิว
-
ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
สำหรับผู้ที่มีรอยสิวอยู่แล้ว แนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีที่สุด และสำหรับผู้ที่เป็นสิว แนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดรอยสิวหลังการรักษา
สรุป
วิธีลดรอยสิวมีหลากหลายแบบ เนื่องจากรอยสิวมีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น สิวหัวดำ สิวไม่มีหัว สิวอักเสบ เป็นนต้น วิธีรักษารอยสิวแต่ละประเภทจึงแตกต่างกันออกไป ตามลักษณะ และอาการความรุนแรงของรอยสิวที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ วิธีรักษารอยสิวที่ดีที่สุดคือการไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาสาเหตุและวิธีรักษาที่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด นอกจากนี้ วิธีนี้ยังเป็นวิธีที่ช่วยย่นระยะเวลาในการรักษา เพราะรู้สาเหตุและรักษาได้ตรงจุดทำให้รอยสิวหายได้เร็วมากกว่า การรักษารอยสิวด้วยตนเอง
สำหรับผู้ที่ต้องการไปพบแพทย์แต่ไม่สะดวกเดินทาง หรือไม่มีเวลา แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป SkinX ที่รวบรวมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษาปัญหาสิวกับคุณไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android หมดปัญหาสิวกวนใจ เพียงคลิกเดียว!
บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว
แหล่งอ้างอิงข้อมูลบางส่วน
Whelan, C. (2020, Dec 4). How to Treat Post – Inflammatory Erythema. Healthline. https://www.healthline.com/health/acne/post-inflammatory-erythema
Ferreira, M. (2021, Dec 13). How to Best Treat Acne Scars. Healthline. https://www.healthline.com/health/acne-scars#raised-scars
Brennan, D. (2021, Apr 27). What To Know About Post-Inflammatory Erythema. Healthline.
Emily, D. (2021, Apr 12). What Is Post-Inflammatory ErythemaM These Post-Acne Red SpotsAren’t Scars. The healthy. https://www.thehealthy.com/skin-health/post-inflammatory-erythema/
Nicole, W. (2021, Nov 02). What is Post Inflammatory Hyperpigmentation?. WebMD. https://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/what-is-post-inflammatory-hyperpigmentation