แนะนำการรักษาสิวดูแลผิวหน้าอย่างถูกวิธี ให้ผิวกลับมาเนียนใส
สิว (Acne) เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยกับทุกเพศ ทุกวัย เกิดจากภาวะผิดปกติบริเวณรูขุมขนและต่อมไขมันในรูขุมขน ซึ่งสิวมักเกิดขึ้นในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ สิวยังมีหลายประเภท เช่น สิวหัวปิด, สิวหัวเปิด, สิวตุ่มแดง, สิวหัวหนอง, สิวผด และสิวหัวช้าง โดยมีสาเหตุการเกิดและวิธีการรักษาแตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อเป็นสิวจึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อใช้วิธีรักษาที่เหมาะสมนั่นเอง
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงกลไกการเกิดสิว และวิธีรักษาสิวที่เหมาะสมกับสภาพผิว เพื่อช่วยบรรเทาและป้องกันการเกิดสิวได้ ทำให้หน้ากลับมาเนียนใส เพิ่มความมั่นใจให้กับตนเอง
สรุป รักษาสิว ต้องทำอย่างไร
- การรักษาสิวมีหลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับสิวแต่ละประเภท โดยแบ่งออกเป็น การใช้ยาทาเฉพาะที่ การใช้ยาสำหรับรับประทาน และการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง
- การรักษาสิวที่ดี ควรเลือกใช้วิธีรักษาที่เหมาะกับประเภทของสิวและสภาพผิวของตนเอง
- วิธีรักษาสิวที่สะดวก ง่ายดาย คือ การใช้ยาทาภายนอก เช่น Rentinoids, Benzoyl peroxide, Azelaic acid, Salicylic Acid เป็นต้น
- หากเลือกรักษาสิวด้วยการทานยา ทั้งยาต้านเชื้อแบคทีเรีย ยา Isotretinoin หรือการรักษาด้วยฮอร์โมน อาจมีผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ จึงควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนรับประทาน
- หากต้องการรักษาสิวอย่างตรงจุด ควรเลือกปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง เพื่อให้ทราบถึงอาการและสาเหตุการเกิดสิว และเลือกใช้วิธีรักษาที่เหมาะกับตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็น การเลเซอร์, การใช้สารเคมี, การกดสิว และการฉีด Corticosteroids
ทำความเข้าใจ สิว เกิดจากอะไร
ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิว มีดังนี้
- เกิดจากเซลล์ที่อยู่ในรูขุมขนมีจำนวนมากเกินไป ทำให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วไม่สามารถผลัดตัวออกมาจากรูขุมขนได้ จนเกิดการอุดตันภายในรูขุมขน
- เมื่อเซลล์ผิวที่ตาย น้ำมัน และสิ่งสกปรกอุดตันในรูขุมขน จึงทำให้เกิดสิวในที่สุด
- การอุดตันของรูขุมขน เนื่องจากต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป
- น้ำมันที่ผลิตออกจากต่อมไขมันจะมีไขมันไตรกลีเซอไรด์เป็นหลัก ซึ่งจะถูกย่อยให้กลายเป็นกรดไขมันอิสระ ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเพิ่มจำนวนของ C. acne* และทำให้เกิดสิว
*C. acne (Cutibacterium acnes) หรือชื่อเก่าที่เรียกกันว่า P. acne (Propionibacterium acnes) คือเชื้อแบคทีเรียที่พบได้ตามผิวหนังในรูขุมขนและต่อมไขมันของมนุษย์ เมื่อเชื้อ C. acne เพิ่มจำนวนมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะหลั่งสารต่าง ๆ ออกมาและทำให้ผิวหนังอักเสบ เพื่อต่อต้านแบคทีเรียชนิดนี้
วิธีรักษาสิวแบ่งได้เป็นกี่ประเภท
เนื่องจากสิวมีหลายชนิด ทั้งสิวหัวปิด, สิวหัวเปิด, สิวตุ่มแดง, สิวหัวหนอง, สิวหัวช้าง และสิวอักเสบรุนแรง ในปัจจุบันจึงมีการพัฒนาวิธีรักษาสิวหลากหลายรูปแบบให้เหมาะกับสิวแต่ละประเภท และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจหาสาเหตุการเกิดสิว และเลือกใช้วิธีรักษาที่เหมาะสม
วิธีรักษาสิวแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
- การใช้ยาทาเฉพาะที่รักษาสิว
- การทานยารักษาสิว
- การรักษาสิวด้วยการทำหัตถการโดยแพทย์ผิวหนัง
การใช้ยาเฉพาะที่รักษาสิว
วิธีรักษาสิวด้วยยาทาภายนอก เป็นวิธีที่ง่าย สะดวก และประหยัด ซึ่งยาแต่ละชนิดเหมาะกับการรักษาสิวต่างกัน ดังนี้
Rentinoids ยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ
ยาปฏิชีวนะชนิดทา
ยาปฏิชีวนะชนิดทารักษาสิว ปัจจุบันมีอยู่ 4 ชนิด ได้แก่
- Clindamycin, Erythromycin, Metronidazole ยา 3 ชนิดแรกที่นิยมใช้เป็นยาสูตรผสมร่วมกับ Benzoyl peroxide หรือใช้ทาสองตัวควบคู่กัน เพื่อให้อาการดื้อยาน้อยลง
- Dapsone นิยมใช้รักษาสิวอักเสบ แต่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้รักษาสิวในไทย ยาชนิดนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกับ Benzoyl peroxide เพราะอาจทำให้เกิดรอยแดงบนผิวหนังได้
Benzoyl peroxide
Benzoyl peroxide หรือ Benzac มีสรรพคุณและข้อดีดังนี้
- ออกฤทธิ์ด้วยการปล่อย Free oxygen radicals มาทำลายเชื้อแบคทีเรีย
- ไม่ทำให้เกิดการดื้อยา เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียไม่สามารถพัฒนาตัวได้เหมือนยาปฏิชีวนะ
- ไม่ค่อยพบผู้แพ้ยามากนัก
- หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
Azelaic acid
เป็นกรดธรรมชาติที่ออกฤทธิ์เป็นยาต้านจุลชีพ นิยมใช้รักษาสิวที่มีความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง โดยมีสรรพคุณดังนี้
- ช่วยลดการอุดตัน
- ช่วยลดรอยดำหลังการรักษาสิว
- ช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง
ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้กรดอะซีลาอิกทุกครั้ง เพราะหากใช้ผิดวิธีอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวไหม้ แสบร้อน หรือเกิดแผลพุพองตามมาได้
Salicylic Acid
เป็นกรดธรรมชาติที่มีคุณสมบัติ ดังนี้
- ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว Keratinocyte ที่อุดตันในรูขุมขน
- ลดอัตราการเกิดสิว
- ลดอาการอักเสบ
ทั้งนี้ Salicylic Acid อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังลอก และมีอาการแสบได้ หากใช้ในปริมาณที่มากเกินไป
Tea tree oil
สารสกัดจากธรรมชาติจากต้นไม้พื้นเมืองของประเทศออสเตรเลีย ส่วนใหญ่อยู่ในผลิตภัณฑ์รักษาโรคจากการติดเชื้อของผิวหนังหรืออาการอักเสบต่าง ๆ เช่น สิว, ผิวหนังอักเสบ, รังแค และเชื้อราที่เล็บ
การรักษาสิวแบบรับประทานยา
การทานยาเพื่อรักษาสิวค่อนข้างมีข้อจำกัดและอาจจะมีผลข้างเคียงที่รุนแรงกว่ายาทาภายนอก ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนรับประทานเพื่อความปลอดภัยของตนเอง การรักษาสิวด้วยวิธีทานยาสามารถแบ่งออกเป็น 3 แบบหลักๆ ได้แก่
Antibiotic and antibacterial agents
การใช้ยาปฏิชีวนะและยาต้านเชื้อแบคทีเรียชนิดทานเพื่อรักษาสิว มีทั้งแบบรับประทานเดี่ยว ๆ และใช้เป็นยาสูตรผสมสองตัวร่วมกัน ขึ้นอยู่กับอาการความรุนแรงของสิวและดุลพินิจของแพทย์ ยาปฏิชีวนะชนิดทาน ได้แก่
- Tetracycline
- Doxycycline
- Macrolide
ทั้งนี้ ข้อเสียของการใช้ยาปฏิชีวนะคือ ถ้าหากใช้ไปสักระยะอาจเกิดอาการดื้อยาได้
Isotretinoin
เป็นยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ เหมาะกับผู้ที่เป็นสิวที่มีความรุนแรงปานกลางไปจนถึงรุนแรงมาก และผู้ที่มีอาการดื้อยาจากการใช้ยาปฏิชีวนะ โดยยา Isotretinoin ออกฤทธิ์ ดังนี้
- ช่วยลดการอักเสบ
- ช่วยยับยั้งการทำงานของต่อมไขมัน
- ช่วยให้ปริมาณของน้ำมันลดลง ส่งผลให้จำนวนเชื้อแบคทีเรีย C. acne ลดลงตามไปด้วย
- ช่วยให้การผลัดเซลล์ผิวเป็นปกติ
- ยับยั้งการสร้างคอมีโดน
แม้ว่า Istretinoin จะมีฤทธิ์ครอบคลุมในการรักษาสิว แต่ก็มีผลข้างเคียงเช่นเดียวกัน ซึ่งความรุนแรงของผลข้างเคียงขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
ทั้งนี้ วิธีลดสิวโดยยาทานและยาทาภายนอกทุกชนิด ควรปรึกษาแพทย์และปฏิบัติตามฉลากบนกล่องอย่างเคร่งครัด เนื่องจากยาบางตัวสามารถก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้หากใช้ผิดวิธี
การรักษาด้วยฮอร์โมน (Hormonal Therapy)
การรักษาด้วยฮอร์โมน ใช้เพื่อลดการสร้างและต่อต้านฮอร์โมนแอนโดรเจน ที่มาจากทั้งรังไข่และต่อมหมวกไตหนึ่งในต้นเหตุของการเกิดสิว ซึ่งยาชนิดทานที่ใช้ควบคุมฮอร์โมนมี 2 ชนิด ได้แก่
ยาคุมกำเนิดชนิดทาน (Oral Contraceptives) นิยมใช้กับผู้หญิง โดยมีคุณสมบัติดังนี้
- ออกฤทธิ์ต่อต้านฮอร์โมนเพศชาย โดยขัดขวางตัวรับของฮอร์โมน Androgen ที่อยู่บนเซลล์ Keratinocytes และเซลล์ต่อมไขมัน
- ช่วยลดปริมาณ Free testosterone ไม่ให้ถูกดึงไปสร้างเป็นฮอร์โมน DHT ที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน และเพิ่มจำนวนของ Keratinocyte
- ยับยั้งการทำงานของ 5-a reductase เอนไซม์ที่เปลี่ยนฮอร์โมน Testosterone ให้กลายเป็นฮอร์โมน DHT
- ยับยั้งการสร้างฮอร์โมน Luteinizing ที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างฮอร์โมน Androgen จึงลดปริมาณฮอร์โมน Androgen ได้
Gonadotropin – Releasing Hormone Agonists เป็นยาที่ทำลายวงจรการปล่อยฮอร์โมน Gonadotropin ที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการสร้างฮอร์โมน Androgen จึงช่วยลดฮอร์โมน Androgen ได้
การรักษาสิวโดยแพทย์เฉพาะทาง
การรักษาสิวโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง ต้องใช้ความชำนาญในการใช้เครื่องมือทางการแพทย์สำหรับการรักษา ได้แก่
เลเซอร์รักษาสิว (Laser)
เลเซอร์และการบำบัดด้วยแสง เป็นวิธีรักษาสิวที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันและมีการพัฒนาอยู่ตลอด โดยมีข้อดี ดังต่อไปนี้
- มีผลข้างเคียงน้อยกว่าการใช้ยา
- ช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น
- ช่วยรักษารอยดำรอยแดงที่เกิดจากสิว
- ช่วยรักษาแผลเป็นที่เกิดจากสิว
- สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย C. acne ได้
ในปัจจุบันเลเซอร์ที่ใช้รักษาสิวมีหลายชนิด ได้แก่
- Pulse dye laser 595nm (vBeam)
เลเซอร์วีบีม เป็นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ให้ผิวกระจ่างใสขึ้น ผ่านการส่งความร้อนลงไปยังผิวหนังแท้ เพื่อทำลายเส้นเลือดที่ผิดปกติให้เกิดการจัดเรียงตัวใหม่ และกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน จึงช่วยรักษาสิวและรอยแดงจากสิวได้
- Copper-Bromide laser 579nm (Dual Yellow)
เลเซอร์ชนิดนี้สามารถรักษาให้รอยดำและรอยแดงจากสิวจางลง ทั้งยังช่วยรักษาสิวอักเสบ และกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่
- Diode laser 1450nm
เลเซอร์ชนิดนี้นิยมใช้รักษาสิวอุดตันให้ค่อย ๆ ยุบตัวลง เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการกดสิวที่อาจทำให้สิวอักเสบและมีอาการรุนแรงมากกว่าเดิม
- Long-pulse Nd:YAG laser 1064nm
เลเซอร์ชนิดนี้ช่วยรักษารอยแดงจากสิว ลดรอยแผลเป็นจากสิว รวมถึงช่วยให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นได้
- Er:Glass laser 1550nm
เลเซอร์ชนิดนี้สามารถรักษารอยหลุมสิว รอยแผลเป็นจากสิว และช่วยให้จุดด่างดำดูจางลงได้ ทั้งนี้ หลังการรักษาผิวอาจมีสีชมพูหรือแดงจัด หรือบางคนอาจมีผิวคล้ำหมองขึ้นชั่วคราว แต่จะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปเอง
การใช้สารเคมี (Chemical peel)
เป็นการรักษาสิวโดยใช้สารเคมีลอกผิวหนังชั้นนอกสุด เพื่อช่วยในกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ Keratinocyte ในรูขุมขนเกาะตัวน้อยลง เหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถใช้การรักษาแบบอื่นได้ เช่น ผู้ที่ตั้งครรภ์ไม่สามารถใช้ยาบางตัวได้
การกดสิว (Comedone extraction)
วิธีนี้ใช้รักษาได้เฉพาะสิวอุดตันหัวเปิด ซึ่งการกดสิวไม่ใช่วิธีรักษาจากต้นเหตุ และไม่สามารถลดการอัตราการเกิดสิวได้ จึงจำเป็นต้องรักษาควบคู่ไปกับวิธีอื่น ๆ เช่น การใช้ทายาหรือยาทาน
การฉีด Corticosteroids
เป็นวิธีรักษาที่นิยมใช้กับสิวอักเสบและก้อนใต้ผิวหนัง โดยการฉีดสเตียรอยด์เข้าไปที่สิวโดยตรง ซึ่งจะช่วยให้สิวยุบตัวได้เร็ว แต่อาจทำให้บางคนเกิดรอยแผลเป็นได้
การรักษาสิวโดยแพทย์จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังที่มีประสบการณ์ก่อนทำการรักษา เพื่อตรวจดูอาการและสาเหตุของสิว รวมถึงเลือกวิธีรักษาที่เหมาะกับสภาพผิวมากที่สุด
สรุป
เนื่องจากสิวมีหลายประเภท ไม่ว่าจะสิวอุดตันหรือสิวอักเสบต่างก็มีประเภทแยกย่อยลงไปอีก ปัจจุบันจึงมีการรักษาสิวหลากหลายวิธีและให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นเพื่อให้รักษาสิวได้อย่างตรงจุด จึงควรไปพบแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์ด้านการรักษาสิว เพื่อหาสาเหตุของการเกิดสิวและเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสม เพื่อจัดการปัญหาสิวที่คอยกวนใจให้ลดลงได้
ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบันทำให้การพบแพทย์ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะมีแอปพลิเคชัน SkinX ที่รวบรวมแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังกว่า 210 ท่าน จากสถานพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศ ที่จะมาให้คำปรึกษาปัญหาสิวได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ปรึกษาแพทย์ได้ทันที ไม่จำเป็นต้องรอ
แหล่งข้อมูลอ้างอิงบางส่วน
Goh, C., Cheng, C., Agak, G., Zaenglein, A.L., Graber, E.M., Thiboutot, D.M., & Kim, J. (n.d.). Acneiform Disorders. Fitzpatrick’s Dermatology 9 TH Edition (1391-1404). McGraw-Hill Education.
DermNet NZ Staff, (n.d.) Acne treatment. DermNet NZ. https://dermnetnz.org/topics/acne-treatment
Mayo Clinic Staff, (2020, Aug 06). Acne-Diagnosis and treatment. Mayo Clinic. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/acne/diagnosis-treatment/drc-20368048
Burke, D & Coelho, S. (2022, Feb 23). Everything You Want To Know About Acne. Healthline. https://www.healthline.com/health/skin/acne