SkinX

GET-On the App Store

SkinX Team

21 สิงหาคม 2567

หน้าเป็นหลุมสิวทำอย่างไรดี? รักษาด้วยตัวเองได้หรือไม่?

หลุมสิวรักษายังไง

“หลุมสิว” ปัญหาที่ตามมาหลังการเกิดสิว เป็นปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผิวหนังเป็นรอยจนสร้างความรำคาญใจได้ไม่ต่างจากสิวเลย ในบทความนี้ SkinX จะพาไปรู้จักกับหลุมสิวว่าคืออะไร ต่างจากรอยแผลเป็นจากสิวอื่น ๆ อย่างไร เพราะเราได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุการเกิดหลุมสิว ประเภทของหลุมสิว รวมถึงการรักษาและป้องกันการเกิดหลุมสิว ให้คุณสามารถรับมือกับหลุมสิวได้ในเบื้องต้นในบทความนี้แล้ว ไปติดตามกันได้เลย!

 

Key Takeaway 

  • หลุมสิวเป็นแผลเป็นจากสิวที่ทำให้ผิวหนังเกิดรอยยุบตัวลงจากระดับผิวปกติ ทำให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียน และเกิดเป็นร่องหลุมบริเวณใบหน้า
  • หลุมสิวสามารถแบ่งประเภทตามลักษณะของหลุมและความรุนแรงของแผลเป็นที่เกิดขึ้น ส่วนการรักษาหลุมสิวจะแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของหลุมสิว
  • หลุมสิวรักษาได้ไหม? หลุมสิวสามารถรักษาได้ แต่การรักษาอาจต้องใช้เวลานาน ขึ้นอยู่กับความลึกและความรุนแรงของหลุมสิว ซึ่งการรักษามีหลายวิธีขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์
  • วิธีรักษาหลุมสิวที่ได้รับความนิยม ได้แก่ การทำเลเซอร์, การทำ Microneedling, การลอกผิวด้วยสารเคมี และการใช้ครีมทาลดหลุมสิว
  • รักษาหลุมสิวด้วยตัวเองสามารถทำได้ แต่อาจจะต้องใช้เวลานาน และการรักษาหลุมสิวด้วยตัวเองอาจจะไม่เห็นผลลัพธ์ที่ดีเท่ากับการทำหัตถการอื่น ๆ เพราะรักษาได้เพียงหลุมสิวชั้นตื้น
สารบัญบทความ

หลุมสิวคืออะไร? ต่างจากแผลเป็นอื่นอย่างไร?

หลุมสิวคือ

หลุมสิว (Atrophic Acne Scars) คือ แผลเป็นจากสิวชนิดหนึ่งที่จะมีลักษณะเป็นหลุมยุบตัวกว่าระดับของผิวหนังปกติ ทำให้เห็นว่าผิวหน้าไม่เรียบเนียนและเป็นหลุมบ่อ กลายเป็นปัญหาผิวหนังที่เกิดต่อเนื่องหลังการเกิดสิว (Acne Vulgaris) โดยเฉพาะสิวอักเสบรุนแรง

ปกติแล้วแผลเป็นจากการเกิดสิวที่พบได้บ่อย มี 2 ประเภท ได้แก่ หลุมสิว (Atrophic scars) และแผลเป็นนูน (Hypertrophic scars) แผลเป็นจากสิวทั้งสองชนิดจะแตกต่างกันตามระดับของแผลเป็น ถ้าแผลเป็นต่ำกว่าผิวหนังโดยรอบจะเรียกว่าหลุมสิว แต่ถ้าแผลเป็นนั้นสูงกว่าผิวหนังโดยรอบจะเรียกว่าแผลเป็นนูน ซึ่งแผลเป็นทั้งสองแบบมีวิธีการรักษาที่ต่างกัน

Fact : หลังการเกิดสิวไม่ได้มีแค่ปัญหาแผลเป็นเท่านั้น แต่ยังมีปัญหารอยสิวจากการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีหลังเกิดสิวด้วย (Pigmentary Changes) ซึ่งปัญหาดังกล่าวคือ การเกิดรอยแดง (Post-inflammatory Erythema) และรอยดำ (Post- inflammatory Hyperpigmentation) จากสิวนั่นเอง

ทำไมสิวจึงทำให้เกิดหลุมสิว?

หลุมสิวเกิดจากกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อหลังเกิดสิวที่ไม่สามารถสร้างคอลลาเจน (Collagen) และเนื้อเยื่อได้เพียงพอ ทำให้เนื้อเยื่อใต้ชั้นหนังกำพร้าหายไปบางส่วน จนเกิดแผลเป็นที่เป็นหลุมหลังจากรักษาสิวหาย ซึ่งสิวหลายชนิด โดยเฉพาะสิวอักเสบจะทำลายเนื้อเยื่อบริเวณโดยรอบให้หายไปบางส่วน บางครั้งการรักษาด้วยการกดสิวหรือบีบสิวที่ผิดวิธี อาจส่งผลให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อโดยรอบ และทำให้เนื้อเยื่อถูกทำลายไปได้เช่นกัน 

 

เมื่อผิวหนังฟื้นฟูตัวหลังการอักเสบหายไป ร่างกายจะสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจนขึ้นใหม่เพื่อเติมผิวในส่วนเดิมที่ถูกทำลาย แต่ถ้าผิวหนังถูกทำลายเป็นบริเวณกว้างและลึก ร่างกายจะไม่สามารถสร้างเนื้อเยื่อเพื่อเติมส่วนที่หายไปได้ทั้งหมด ทำให้เกิดเป็นหลุมสิวลึกขึ้นนั่นเอง

 

นอกจากนี้ หลุมสิวอาจเกิดจากการสมานแผลที่ไม่สมบูรณ์ จนเกิดพังผืดระหว่างผิวหนังชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ ซึ่งจะดึงผิวหนังให้ยุบลงจนเห็นเป็นหลุมสิวได้ โดยต้นเหตุของหลุมสิวมักเกิดจากการอักเสบรุนแรง, การรักษาสิวช้าเกินไป, การรักษาสิวไม่ถูกวิธี, ขนาดของรอยแผล, ความตึงของผิวหนัง และสาเหตุอื่น ๆ อีกมากมาย

หลุมสิวมักเกิดจากสิวประเภทไหน?

หลังจากที่ทราบกันไปแล้วว่าหน้าเป็นหลุมสิวเกิดจากสาเหตุใด เรามาดูกันต่อว่าสิวประเภทใดบ้างที่ทำให้เกิดหลุมสิวบนใบหน้า หากทำการรักษาอย่างผิดวิธี

  • สิวอักเสบ เป็นสิวที่เกิดจากการติดเชื้อหรือการอักเสบในรูขุมขน โดยสิวอักเสบจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดง อาจมีหนองภายใน โดยสิวอักเสบมักเกิดจากการสะสมของน้ำมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และแบคทีเรียในรูขุมขน เมื่อรูขุมขนถูกอุดตันจนเกิดการติดเชื้อจะส่งผลให้เกิดการอักเสบและสิวอักเสบตามมาฃ
  • สิวหัวช้าง เป็นสิวขนาดใหญ่ที่เกิดจากการอุดตันในรูขุมขนลึก ทำให้เกิดการสะสมของน้ำมันและแบคทีเรียใต้ผิวหนัง สิวหัวช้างมีลักษณะเป็นก้อนแข็งนูนใต้ผิว มีการอักเสบรุนแรง และเจ็บปวดเมื่อสัมผัส แต่จะไม่มีหัวสิวให้บีบออก ซึ่งการรักษาสิวประเภทนี้จะทำได้ยาก เพราะเมื่อหายแล้วมักทิ้งรอยแผลเป็นหรือหลุมสิวที่เห็นได้ชัดเจน

หลุมสิวมีกี่แบบ?

ประเภทหลุมสิว

หลุมสิวมีกี่แบบ? รอยหลุมสิวแบ่งออกตามลักษณะการยุบตัวของผิวหนัง โดยแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้

Ice-pick Scars

รอยหลุมสิวแบบ Ice-pick Scars จะมีลักษณะเป็นหลุมสิวที่ยุบตัวเข้าไปในผิวเป็นกรวยแหลม ขอบของหลุมสิวไม่เรียบ มีฐานหลุมสิวลึกและแคบเล็ก บางครั้งรอยหลุมสิวอาจลึกลงไปถึงชั้นหนังแท้ ซึ่งเส้นผ่านศูนย์กลางหลุมสิวมีขนาดน้อยกว่า 2 มิลลิเมตร Ice-pick Scars จึงเป็นหลุมสิวชนิดที่รุนแรง และรักษาได้ยากมากที่สุด

Box Scars

หลุมสิวแบบ Box Scars คือ รอยแผลเป็นกว้างรูปวงกลมหรือวงรี มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 1.5-4 มิลลิเมตร หลุมสิวรูปแบบนี้จะมีขอบหลุมสิวชัดเจน และฐานของหลุมสิวกว้างขนาดเท่ากันเป็นส่วนใหญ่

Rolling scars

หลุมสิวแบบ Rolling scars จะมีลักษณะเป็นแผลตื้นกว้าง เส้นผ่านศูนย์กลางจะมากกว่า 4-5 มิลลิเมตร มีลักษณะเป็นแอ่ง ปากหลุมสิวค่อนข้างกว้าง ทำให้ฐานของหลุมสิวแคบกว่าปากหลุม บางครั้งเราจะสังเกตเห็นว่าใบหน้าโดยรวมจะดูขรุขระเหมือนลูกคลื่นได้ เพราะหลุมสิวจะมีลักษณะเป็นหลุมสิวตื้น

 

สรุปได้ว่าประเภทของหลุมสิวแบ่งตามลักษณะของหลุมสิวและความรุนแรงของแผลเป็น ส่วนเรื่องการรักษาหลุมสิวก็จะรักษาด้วยวิธีการเดียวกัน เพียงแต่หลังการรักษาหลุมสิวจะฟื้นตัวยากง่ายแตกต่างกันไปตามความรุนแรงนั่นเอง

หลุมสิวรักษาอย่างไร?

รักษาหลุมสิว

การรักษาหลุมสิวและแก้รอยสิวสามารถทำได้หลากหลายวิธี โดยส่วนใหญ่จะเป็นการกระตุ้นให้ผิวหนังสร้างคอลลาเจนเพื่อเติมให้หลุมสิวที่ยุบลงไป ทำให้ผิวหนังดูตื้นขึ้นมาเท่ากับผิวในส่วนอื่น ๆ โดยวิธีการที่ใช้กันเพื่อรักษาหลุมสิว มีดังนี้

เลเซอร์ (Laser)

การทำเลเซอร์เป็นวิธีแก้หลุมสิวที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากการทำเลเซอร์จะส่งผลกับเนื้อเยื่อเฉพาะจุด โดยแพทย์สามารถปรับความยาวคลื่นในการทำการรักษาหลุมสิวได้อย่างตรงจุด ทั้งยังไม่ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณโดยรอบเสียหายด้วย

โดยเลเซอร์ที่ใช้รักษาหลุมสิวมีทั้ง Erbium YAG laser (Er:YAG), Long Pulse Nd YAG laser (Nd:YAG), และ Carbon dioxide (CO2) laser ซึ่งเลเซอร์เหล่านี้จะไปกระตุ้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังให้สร้างคอลลาเจนขึ้นมา เพื่อให้หลุมสิวเต็มขึ้น เลเซอร์บางตัวก็ทำให้ผิวหนังชั้นนอกลอกออก เพื่อผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวเรียบเนียนมากขึ้นด้วย

ส่วนข้อเสียของการใช้เลเซอร์รักษาหลุมสิวนั้นอาจทำให้ผิวหนังบริเวณที่มีหลุมสิวระคายเคือง ผิวหนังแดงลอกหลังจากรักษา และการใช้เลเซอร์ไม่ได้เหมาะกับทุกสีผิว เพราะหากใช้เลเซอร์รักษาหลุมสิวในผู้ที่มีผิวสีเข้ม (Fitzpatrick Scale อยู่ที่ระดับ 5-6) อาจมีความเสี่ยงทำให้เกิดรอยดำหลังการรักษาได้

Fact : Fitzpatrick Scale เป็นสเกลบอกระดับความเข้มของสีผิวที่มีผลทางการแพทย์ โดยจะมีระดับตั้งแต่ 1-6 ซึ่งระดับ 1 คือ ผิวสีอ่อนที่สุด และระดับ 6 คือ ผิวสีเข้มที่สุด

การทำ Microneedling

หน้าเป็นหลุมสิวรักษายังไง

Microneedling เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กทิ่มลงที่ผิวหนังบริเวณที่เป็นหลุมสิว โดยจะทิ่มให้ถึงผิวหนังที่อยู่ใต้ฐานหลุมสิว เพื่อกระตุ้นเนื้อเยื่อด้านล่างให้สร้างคอลลาเจนขึ้นมา เติมหลุมสิวให้ตื้นขึ้นเสมอกับผิวบริเวณโดยรอบ ซึ่งเวลาแทงเข็ม แพทย์จะแทงให้ลึกเล็กน้อยเพื่อให้เกิดผลที่ผิวหนังในชั้นลึกลงไป โดยจะลึกประมาณ 1.5-2 มิลลิเมตร ขึ้นอยู่กับว่าแผลเป็นอยู่ลึกขนาดไหน และผิวหนังหนาบางเท่าไหร่ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนที่สุด

Microneedling เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้มีผิวสีเข้มที่ต้องการลดหลุมสิว เนื่องจากไม่มีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดรอยดำ นอกจากจะช่วยรักษาหลุมสิวแล้ว Microneedling ยังช่วยเรื่อง anti-aging และการสร้างเม็ดสีด้วย ส่วนผลข้างเคียงทั่วไปของ Microneedling คือจะทำให้ผิวแสบ แดง เกิดสะเก็ดขึ้นเนื่องจากการใช้เข็มเจาะผิว ทั้งยังเสี่ยงติดเชื้อหากทำในสถานพยาบาลที่ไม่ได้มาตรฐานด้วย
 

ทั้งนี้ Microneedling ยังไม่ได้รับการรับรองจาก FDA ในไทยให้ใช้รักษาหลุมสิว ดังนั้นจึงหาทำได้ยาก และยังเป็นหัตถการที่ไม่สามารถทำเองได้ที่บ้าน เพราะนอกจากจะเสี่ยงติดเชื้อแล้ว ยังเจ็บและอาจไม่ได้ผลหากแทงเข็มไม่ลึกพอ

Fact : FDA หรือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (Food and Drug Administration) เป็นหน่วยงานของรัฐบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข มีหน้าที่คอยควบคุมสินค้าและบริการที่เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ ซึ่งหัตถการต่าง ๆ ก็ต้องผ่านการรับรองจาก FDA ก่อนเปิดให้บริการเช่นเดียวกัน

การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels)

ลอกผิวรักษาหลุมสิว

การลอกผิวด้วยสารเคมี เป็นวิธีการรักษาสิวและรักษาหลุมสิวที่นิยมอย่างมากในต่างประเทศ ส่วนในไทยวิธีการนี้ยังไม่นิยมทำมากนัก โดยวิธีการคือ แพทย์จะใช้สารเคมีทาบนผิวทั้งหมดหรือเฉพาะส่วน เพื่อเร่งการผลัดเซลล์ผิวและลอกผิวส่วนบนออกไป เพื่อให้ผิวเรียบเนียนมากขึ้น ซึ่งการใช้สารเคมีลอกผิวระดับลึกก็จะสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ด้วยเช่นกัน

 

การลอกผิวด้วยสารเคมี มีด้วยกัน 3 ระดับ ได้แก่ การลอกผิวระดับตื้น (Superficial depth chemical peels) ลอกผิวระดับปานกลาง (Medium depth chemical peels) และลอกผิวระดับลึก (Deep depth chemical peels) ซึ่งระดับความลึกแต่ละอย่างก็จะให้ผลการรักษาที่ต่างกันไป อย่างการลอกผิวระดับตื้นอาจจะทำได้เพียงปรับพื้นผิวของผิวหนังโดยรวม ส่วนการลอกผิวระดับลึกจะสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ด้วย

 

การลอกผิวด้วยสารเคมีในระดับลึกจะใช้ทาเฉพาะจุดที่เป็นหลุมสิวด้วยเครื่องมีปลายแหลม และต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากสารเคมีลอกผิวในระดับลึกมักจะเป็นกรดที่ค่อนข้างแรง หากใช้ในตำแหน่งอื่นที่เป็นผิวปกติ หรือใช้ผิดวิธีอาจทำให้เกิดผลเสียกับผิวหนังมากกว่าผลดีได้ 

 

ตัวอย่างหัตถการซึ่งใช้สารเคมีลอกผิวระดับลึกเพื่อรักษาหลุมสิวที่นิยมทำกัน มีชื่อว่า “TCA Cross” ซึ่งหัตถการดังกล่าวเป็นหัตถการไม่กี่อย่างที่สามารถรักษาหลุมสิวแบบ Ice-pick Scars ได้

 

ข้อเสียของการทำ Chemical Peels คือจะทำให้ผิวหนังคัน แดง แสบ ระคายเคืองในช่วงแรก ทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดรอยดำ (Hyperpigmentation) และรอยด่าง (Hypopigmentation) จากการกัดกร่อนของกรด นอกจากนี้ การทำ Chemical Peels ด้วยสารเคมีอย่าง “Phenol” ยังมีความเสี่ยงส่งผลเสียต่อหัวใจ ไต และตับได้ หากการรักษาไม่ได้ควบคุมดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ

 

นอกจาก Laser, Microneedling และ Chemical Peels แล้ว ยังมีหัตถการอื่นที่ทำได้อีก อย่างเช่น Subcision การใช้เข็มตัดพังผืดหลุมสิว, Dermal Filler การฉีดฟิลเลอร์เติมหลุมสิว และ Dermabrasion การขัดผิวเพื่อให้หลุมสิวตื้นขึ้น

การใช้ยาทาแก้หลุมสิว

ยาทาสำหรับแก้หลุมสิวหรือครีมรักษาหลุมสิว จะนิยมใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนอ่อน ๆ เพื่อลอกผิวชั้นตื้นให้ผิวหนังเรียบเนียนเสมอกันมากขึ้น โดยสารเคมีที่ใช้จะมีทั้งกรดต่าง ๆ อย่าง Lactic Acid หรือ Alpha hydroxy Acids และยาที่ช่วยทั้งเรื่องการผลัดเซลล์ผิวและการสร้างคอลลาเจนอย่าง Retinoids

 

โดยยาในกลุ่ม Retinoids มีหลายตัวมาก บางตัวนิยมใช้สำหรับรักษาสิว บางตัวก็นิยมใช้สำหรับรักษาหลุมสิวได้เช่นกัน แต่การรักษาหลุมสิวด้วยยาทา ทั้งยากลุ่มกรดหรือ Retinoids จะไม่ได้ผลดีมากเท่าใดนักเมื่อเทียบกับหัตถการอื่น ๆ เนื่องจากยาทาไม่สามารถให้ผลได้ลึกมากพอที่จะรักษาหลุมสิวได้นั่นเอง

 

มีปัญหาหลุมสิว ไม่หายสักที ลองปรึกษาแพทย์ SkinX

 

การรักษาหลุมสิวเป็นสิ่งที่ยากกว่าการรักษาสิวอย่างมาก เนื่องจากหลุมสิวเป็นภาวะของผิวหนังที่จะคงอยู่แบบนั้นไปเรื่อย ๆ หากไม่รักษาจะไม่สามารถหายไปเองได้เลยไม่ว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ตาม อีกทั้งการรักษาหลุมสิวด้วยตัวเองยังใช้เวลานาน และให้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีนัก ดังนั้นการรักษาโดยแพทย์จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาหลุมสิว

 

การปรึกษาแพทย์เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ เพื่อประเมินความรุนแรงของหลุมสิวในเบื้องต้นและหาทางรักษาหลุมสิวที่เหมาะกับสภาพผิว สีผิว และความรุนแรงของหลุมสิวที่เป็น

 

การปรึกษาแพทย์เป็นเรื่องง่าย เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน SkinX ก็สามารถเลือกปรึกษาปัญหาหลุมสิว และปัญหาผิวหนังอื่น ๆ กับแพทย์จากสถานพยาบาลชั้นนำได้มากกว่า 200 ท่าน สะดวก ปรึกษาได้ทุกที่ ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องรอคิว เพราะผิวดี ไม่ต้องรอ!

การป้องกันการเกิดหลุมสิว

ป้องกันหลุมสิว

การป้องกันการเกิดสิว การอักเสบของสิว และการเกิดหลุมสิวนั้นไม่สามารถทำได้ 100% แต่ก็มีวิธีการลดความเสี่ยงการเกิดหลุมสิวได้ และสามารถทำได้ง่ายกว่าการรักษาหลุมสิว โดยการทำตามวิธีดังต่อไปนี้

 

  • ปรึกษาแพทย์ และรักษาสิวทันทีเมื่อเริ่มเป็นสิว เพื่อลดโอกาสเกิดสิวอักเสบที่จะทำให้เป็นหลุมสิวในอนาคต
  • หากสิวขึ้นเล็กน้อยให้ใช้ยาทาเบื้องต้น อย่าง Retinoids หรือ Benzoyl peroxide ไม่ควรกดสิว หรือบีบสิวเองเด็ดขาด
  • หลังสิวหายแล้วตกสะเก็ด ห้ามแกะสะเก็ดแผล เนื่องจากจะทำให้แผลสมานตัวช้าลงและเกิดเป็นหลุมสิวได้
  • หากรู้ตัวว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นแผลเป็นหรือหลุมสิวง่าย ให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังทันที

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหลุมสิว

รักษาหลุมสิวด้วยตัวเอง ได้ไหม?

ใครที่หน้าเป็นหลุมสิว และต้องการรักษาหลุมสิวด้วยตัวเองสามารถทำได้ แต่จะรักษาหลุมสิวเองจะช่วยได้เพียงหลุมสิวตื้น ๆ เท่านั้น ซึ่งการใช้ยาทารักษาหลุมสิวจะทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวไวขึ้น ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้นได้เล็กน้อย แต่จะไม่สามารถรักษาหลุมสิวให้หายสนิทได้

 

ยาทารักษาหลุมสิวดังกล่าวที่ช่วยรักษาได้ ได้แก่ Lactic Acid, Alpha hydroxy acids และ Retinoids ซึ่งกลุ่มยาดังกล่าว Retinoids ได้รับความนิยมมากที่สุด

วิตามินซีช่วยในเรื่องของหลุมสิวไหม?

วิตามินซีช่วยในเรื่องหลุมสิวได้ หากใช้ผลิตภัณฑ์แบบยาทาจะช่วยเรื่องการผลัดเซลล์ผิว แต่ถ้าใช้ร่วมกับการทำ Microneedling จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ในระดับหนึ่ง

หลุมสิวนานไหมกว่าจะหายไป?

หลุมสิวนั้นใช้เวลานานในการรักษา และหากไม่รักษาก็จะไม่หายไปเอง ในกรณีที่รักษาหลุมสิวอาจจะใช้เวลาประมาณ 4-6 เดือน หรือเป็นปีกว่าหลุมสิวจะหายไป แม้จะรักษาด้วยหัตถการที่เหมาะสมแล้วก็ตาม ดังนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิวตั้งแต่แรกจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

สรุป หลุมสิวเป็นแล้วรักษาให้หายได้ เพียงต้องใช้เวลา

หลุมสิวเป็นแผลเป็นที่เกิดจากสิว ซึ่งสามารถรักษาได้แต่ก็ต้องใช้เวลานาน ทั้งยังต้องทำโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ และการรักษาหลุมสิวมักมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นการปรึกษากับแพทย์ก่อนตัดสินใจทำเลเซอร์, Microneedling หรือ Chemical Peels เป็นเรื่องสำคัญมาก เพื่อไม่ให้เสียเวลา และเสียค่าใช้จ่ายมากเกินควร

 

สามารถปรึกษาแพทย์ผิวหนังเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิว และปัญหาผิวหนังอื่นได้ง่าย ๆ เพียงดาวน์โหลดแอปฯ SkinX ก็สามารถดูรีวิวและเลือกแพทย์ที่ต้องการปรึกษาได้เลย ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องรอนาน ดาวน์โหลดแอปฯ ได้ทั้งระบบ IOS และ Android

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก

 

Chawla, S. (2014, December). Split Face Comparative Study of Microneedling with PRP Versus
        Microneedling with Vitamin C in Treating Atrophic Post Acne Scars. PubMed.
        https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4338464/ 

 

Gozali, M. V., & Zhou, B. (2015, May). Effective Treatments of Atrophic Acne Scars. PubMed.
        https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4445894/ 

 

Pullar, J. M., Carr, A. C., & Vissers, M. C. M. (2017, August). The Roles of Vitamin C in Skin Health.
        PubMed. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5579659/ 

 

Sachdeva, S. (2010, September 2). Research Letter: Lactic acid peeling in superficial acne scarring in Indian skin. Wiley Online Library. https://onlinelibrary.wiley.com/doi/abs/10.1111/j.1473-2165.2010.00513.x

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น ใช้งานครั้งแรกปรึกษาฟรี
Tips & Tricks
สาระน่ารู้และข่าวประชาสัมพันธ์

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ สามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรังปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

บันทึกการตั้งค่า