สิวที่แก้ม ปัญหาผิวหน้าเรื้อรัง คืออะไร?
สิวที่แก้ม คือ ปัญหาโรคผิวหนังที่เกิดขึ้นตรงรูขุมขนบริเวณแก้มทั้งสองข้าง ซึ่งสิวที่แก้มสามารถบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพและพฤติกรรมที่ทำให้เกิดสิวได้จากสาเหตุและปัจจัยภายนอกที่หลากหลาย ซึ่งจริง ๆ แล้วสิวที่แก้มเกิดจากอะไร? แล้วสามารถรักษาหรือป้องกันอย่างไรได้บ้าง? มาตามหาคำตอบกันได้ที่บทความของ SkinX ด้านล่างนี้เลย
SkinX แอปพลิเคชันพบแพทย์ผิวหนังออนไลน์ที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาสิวและวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ จากสถานพยาบาลและคลินิกชั้นนำในประเทศไทยที่เข้าร่วมกับทางแอป มาพร้อมโปรโมชันดี ๆ และบริการหลากหลายที่ช่วยแก้ไขปัญหาผิวของคุณได้โดยไม่ต้องรอคิวให้เสียเวลา ดาวน์โหลดแอปได้ที่ App store หรือ Play store
สรุป สิวที่แก้มเกิดจากอะไร รักษาอย่างไรได้บ้าง?
- โดยปกติแล้ว สิวที่แก้มเกิดจากการอุดตันและการติดเชื้อจากแบคทีเรีย ซึ่งมาจากสิ่งสกปรกตกค้างบนผิว ทำให้เกิดการระคายเคืองและกระตุ้นการอักเสบจนเกิดสิว
- ระดับฮอร์โมนเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวที่แก้มได้ เพราะฮอร์โมนในกลุ่ม Androgen กระตุ้นให้ผลัดเซลล์ผิวเก่าออกและต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น
- สิวที่แก้มยังสามารถเกิดขึ้นได้จากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารประเภทของทอดและไขมันสูง การทำความสะอาดผิวหน้า รวมถึงการสะสมความเครียด
- หนึ่งในวิธีการรักษาที่สะดวกและนิยมคือ การใช้ยารักษาสิวแต้มบริเวณสิวที่ขึ้น ซึ่งมีทั้งชนิดทาและชนิดรับประทาน
- การรักษาสิวด้วยการกดสิวหรือเลเซอร์สิว เป็นการรักษาสิวแบบรวดเร็วที่ช่วยลดโอกาสการเกิดรอยสิวได้ดี แต่ควรทำโดยแพทย์ผิวหนัง
สิวขึ้นที่แก้มเกิดจากอะไร?
สิวที่แก้มเกิดจากอะไร? สิวขึ้นแก้มมีสาเหตุเกิดจากเซลล์ Keratinocyte อุดตันอยู่ในรูขุมขน ในบางครั้งการอุดตันอาจก่อให้เกิดติดเชื้อใต้ผิวหนังได้ สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการอุดตันหรือติดเชื้อนั้นอาจมาจากความมันบนใบหน้า ผิวเกิดการอักเสบ และปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายซึ่งสามารถพิจารณาได้ดังนี้
- สิ่งสกปรกตกค้างบนใบหน้า
แม้สิวตรงแก้มอาจเกิดจากความสกปรกเป็นส่วนใหญ่ แต่เรื่องนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าความสกปรกไม่ได้ทำให้เกิดสิว หากล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง เพื่อให้ผิวหนังสามารถผลัดเซลล์ผิวได้ตามปกติ แต่ข้อมูลบางส่วนได้ระบุไว้ว่าความสกปรกมีโอกาสทำให้เกิดสิวได้ เนื่องจากทำให้แบคทีเรียประจำถิ่นเพิ่มจำนวนมากขึ้น หรืออาจทำให้แบคทีเรียอื่น ๆ สามารถเจริญเติบโตได้ง่ายขึ้น สาเหตุเหล่านี้อาจไปกระตุ้นผิวหนังให้เกิดการอักเสบหรือระคายเคือง จนผิวหนังผลัดเซลล์ผิวมากกว่าปกติและเกิดการอุดตัน
- การติดเชื้อแบคทีเรีย
สิวที่แก้มนี้เกิดจากสิ่งสกปรกได้มากกว่าผิวบริเวณอื่น ๆ เนื่องจากบริเวณนี้มักสัมผัสกับสิ่งสกปรกตลอดเวลา ทั้งมือ ปลอกหมอน และโทรศัพท์มือถือ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียจากสิ่งสกปรกเหล่านี้ได้ง่ายโดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์ที่มีโอกาสทำให้เกิดสิวสูง เพราะนอกจากจะเต็มไปด้วยแบคทีเรียหลายชนิดแล้ว ยังสามารถทำให้เกิดการกดทับหรือเสียดสีที่แก้ม ทำให้ผิวระคายเคืองและรูขุมขนอุดตันจนเกิดสิวนั่นเอง
- ระดับฮอร์โมน
สิวที่แก้มในผู้ใหญ่สามารถเกิดจากฮอร์โมนได้ โดยปกติแล้วหากมีฮอร์โมนในกลุ่ม Androgen เพิ่มขึ้น ฮอร์โมนจะไปกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวและผลัดเซลล์ผิวเก่าออกมามากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังไปกระตุ้นให้เซลล์ Sebocyte เซลล์ที่อยู่ในต่อมไขมันเพิ่มการแบ่งตัวจนต่อมไขมันหลั่งน้ำมันออกมามากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดสิวที่แก้มนั่นเอง
ตามปกติแล้วสิวฮอร์โมนจะพบมากในบริเวณ T-zone ซึ่งเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันมากกว่าส่วนอื่น ๆ ได้แก่หน้าผาก จมูก และคาง ส่วนสิวฮอร์โมนที่แก้ม คาง และสันกราม จะพบได้มากในวัยผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ใกล้เป็นประจำเดือน หรือผู้ที่มีระดับฮอร์โมนในกลุ่ม Androgen สูง
ทั้งนี้ สิวที่แก้มยังสามารถเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต, อาหารการกิน, การแพ้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกับเครื่องสำอาง, สภาพแวดล้อม, สภาพจิตใจ รวมไปถึงพันธุกรรมด้วย ดังนั้น เมื่อเป็นสิวที่แก้มก็ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของการเกิดสิวต่อไป
Fact : กระบวนการและปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวนั้นเป็นเรื่องซับซ้อน เพราะมีหลายสาเหตุประกอบกัน สิวจึงเป็นโรคผิวหนังที่ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น 100% ได้ยาก และไม่สามารถป้องกันได้ด้วยการรักษาความสะอาดเพียงอย่างเดียวอย่างที่หลายคนเข้าใจกัน
ประเภทของสิวที่แก้ม
สิวที่แก้มเกิดขึ้นได้หลายชนิด ตามความรุนแรง และยังสามารถเกิดโรคผิวหนังอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายสิวได้อีกด้วย ซึ่งสิวที่แก้มสามารถแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้
สิวอุดตันที่แก้ม
สิวอุดตันที่แก้ม (Comedones) เป็นสิวอุดตันชนิดไม่อักเสบ ได้แก่ สิวอุดตันหัวเปิด (Open Comedone) หรือที่เรียกว่า สิวหัวดำ (Blackhead) และสิวอุดตันหัวปิด (Closed Comedone) หรือที่เรียกว่า สิวหัวขาว (Whitehead) โดยสิวอุดตันที่แก้มทั้งสองชนิดต่างกันที่ลักษณะการอุดตันของ Microcomedone หากการอุดตันทำให้เกิดถุงในรูขุมขนและปากรูขุมขนแคบจะกลายเป็นสิวหัวปิด แต่หากปากรูขุมขนขยายกว้างจะกลายเป็นสิวหัวเปิด ซึ่งสามารถมองเห็นหัวสิวได้จากภายนอก
Fact : Microcomedone เป็นชื่อเรียกการอุดตันในระยะแรกของสิวอุดตัน เมื่อเซลล์ Keratinocyte อุดตันรูขุมขน จะทำให้สิวอุดตันเริ่มก่อตัวขึ้นมา แต่ยังไม่สามารถมองเห็นจากผิวภายนอกได้
สิวอุดตันที่แก้มเกิดจากอะไร? สิวดังกล่าวเกิดจากการอุดตันของเซลล์ผิว, เคราติน, ไขมัน และแบคทีเรีย ซึ่งมาจากสิ่งสกปรกตกค้าง, ระดับฮอร์โมน, พฤติกรรม, ปัญหาสุขภาพ ไปจนถึงพันธุกรรม หากมีสิวที่แก้มประเภทสิวอุดตันควรรีบรักษา โดยเฉพาะสิวที่เป็นสิวอุดตันหัวปิด เนื่องจากสิวลักษณะนี้สามารถพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบได้หากปล่อยทิ้งไว้ หรือถูกรบกวนจนผนังรูขุมขนแตกออก ซึ่งการเป็นสิวอุดตันจะรักษาได้ยากกว่าเดิม และยังทิ้งรอยแผลเป็นไว้เมื่อรักษาหายได้อีกด้วย
สิวอักเสบที่แก้ม
สิวอักเสบที่แก้ม (Inflammatory acne) เป็นสิวอักเสบที่เกิดจากการกระตุ้นโดยเชื้อแบคทีเรียอย่าง C. acne ชื่อเก่าคือ P. acne เมื่อแบคทีเรียเข้าสู่ชั้นผิวหนังจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองโดยการหลั่งสารต่าง ๆ และทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวเยอะขึ้นในบริเวณนั้น เพื่อกำจัดแบคทีเรียและสิ่งแปลกปลอมออกไปจากร่างกาย ส่งผลให้บริเวณดังกล่าวเกิดการอักเสบขึ้น ซึ่งมีลักษณะบวมแดง บางครั้งอาจรู้สึกเจ็บปวดและร้อนที่ผิวด้วย
สิวอักเสบแบ่งออกเป็นมี 4 ประเภทตามความรุนแรงของการอักเสบดังนี้
- สิวตุ่มแดง (Papule) สิวอักเสบที่มีตุ่มสีแดงนูนขนาดเล็กในผิวหนังชั้นบน
- สิวหัวหนอง (Pustule) สิวอักเสบเรื้อรังจนมีหนองสะสมที่ตุ่มสิว
- สิวไต (Nodule) สิวอักเสบลุกลามจนชั้นผิวหนังที่ลึกและเกิดเป็นก้อนไตแข็งใต้ผิวหนัง
- สิวอักเสบชนิดรุนแรง (Severe nodular acne) อย่างสิวหัวช้าง เป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ที่มีก้อนหนองอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง
Fact : เมื่อเป็นสิว ไม่ควรรักษาสิวด้วยการบีบสิวเอง เนื่องจากการบีบสิวผิดวิธีอาจไปกระตุ้นผิวหนังทำให้เกิดการช้ำ และอักเสบมากกว่าเดิมจนกลายเป็นสิวที่รุนแรงขึ้น ทางที่ดีควรมากดสิวกับแพทย์ผิวหนังเพื่อป้องกันปัญหาสิวลุกลามจากการบีบสิว
หากเป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรงจะรักษาสิวที่แก้มได้ยากกว่าสิวชนิดอื่น ๆ อีกทั้งยังเสี่ยงทิ้งรอยแผลเป็นหลังการรักษาอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่เป็นสิวอักเสบที่แก้มจะต้องรีบพบแพทย์ผิวหนังให้เร็วที่สุด
สิวที่แก้มไม่มีหัว
สิวไม่มีหัวที่แก้ม เป็นชื่อเรียกสิวที่แก้มที่ไม่สามารถบีบออกได้ โดยปกติแล้วเมื่อมีสิวคนทั่วไปมักรักษาสิวเองด้วยการบีบหัวสิวออก แต่ก็มีสิวบางประเภทเช่นกันที่ไม่สามารถรักษาด้วยการบีบออกได้ หรือสามารถบีบออกได้ยากอย่าง สิวอุดตันหัวขาว, สิวตุ่มแดง, สิวไต และสิวหัวช้าง นั่นเอง
Fact : โรคสิว Acne Vulgaris มีแค่สิวอุดตันกับสิวอักเสบอย่างสิวตุ่มแดง, สิวหัวหนอง, สิวไต และสิวอักเสบรุนแรงเท่านั้น ส่วนโรคอื่น ๆ ที่ภาษาไทยเรียกว่า “สิว” นั้น แท้จริงไม่ใช่สิว แต่เป็นโรคผิวหนังที่ลักษณะคล้ายสิวที่มีกระบวนการเกิด ซึ่งมีวิธีรักษาแตกต่างจากสิวอย่างสิ้นเชิง
สิวผดที่แก้ม
สิวผดที่แก้ม (Acne Aestivalis หรือ Acne Mallorca) ไม่ใช่โรคสิวแต่เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการกระตุ้นโดยแสงชนิดหนึ่ง (Polymorphous Light Eruption) ทำให้รูเปิดต่อมเหงื่อบวมจนเกิดเป็นตุ่มเล็ก ๆ ลักษณะคล้ายผด สิวอุดตันหัวปิด หรือสิวอักเสบตุ่มแดง นอกจากนี้ สิวผดยังเกิดได้จากอากาศร้อน, ฝุ่น, ควัน หรือมลภาวะต่าง ๆ ได้ด้วย ซึ่งสิวผดเกิดขึ้นที่แก้มได้ โดยวิธีการรักษาสิวผดคือ การหลีกเลี่ยงสัมผัสแสงแดด อากาศร้อน หรือฝุ่นละออง ก็สามารถลดโอกาสเกิดสิวชนิดนี้ได้แล้ว
สิวเสี้ยนตรงแก้ม
สิวเสี้ยน (Trichostasis Spinulosa) ไม่ใช่โรคสิวเช่นเดียวกับสิวผด แต่สิวเสี้ยนเกิดจากความผิดปกติของการสร้างเส้นขน ปกติแล้วรูขุมขนมีขนเพียงแค่ 1-4 เส้น บางตำแหน่งอาจมีเพียงแค่ 1 เส้นเท่านั้น แต่ในกรณีที่เป็นสิวเสี้ยน รูขุมขนจะสร้างขนขึ้นมามากถึง 5-25 เส้นในรูขุมขนเดียว ทำให้เส้นขนเกาะตัวรวมกันกับเคราติน ไขมัน และเซลล์ผิวที่ผลัดออกมา จนเกิดเป็นกลุ่มเส้นขนสีดำนั่นเอง บางครั้งอาจเข้าใจผิดว่าเป็นสิวหัวดำได้
สิวเสี้ยนมักพบที่ศีรษะ หน้าอก และหลังเป็นส่วนใหญ่ ที่ใบหน้าพบได้บริเวณที่มีหนวดหรือบริเวณปลายจมูก แม้สิวนี้จะไม่ก่อให้เกิดผลเสียอะไรยกเว้นเรื่องความสวยงาม แต่หากต้องการกำจัดสิวเสี้ยนออกก็สามารถทำได้ด้วยการถอน แว๊กซ์ หรือเลเซอร์
นอกจากสิวที่แก้มอย่างสิวผด และสิวเสี้ยน บริเวณแก้มยังสามารถเกิดโรคผิวหนังอื่น ๆ ได้ เช่น สิวหิน, สิวเม็ดข้าวสาร, ซีสต์, รูขุมขนอักเสบ, ผิวหนังอักเสบ หรือผื่นแพ้สัมผัส เป็นต้น หากคุณมีอาการเช่นเดียวกับโรคดังกล่าวแล้วสงสัยว่าเป็นสิวหรือไม่ ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาที่ต้นเหตุของโรคต่อไป
อยากรักษาสิวที่แก้มทำอย่างไรดี?
วิธีรักษาสิวที่แก้มเฉพาะโรคสิว Acne Vulgaris จะรักษาโดยใช้ยาสำหรับทาเป็นหลัก หากอาการรุนแรงอาจใช้ยาชนิดทานร่วมด้วย ซึ่งยาและหัตถการที่ใช้รักษาสิวที่แก้ม มีรายละเอียดดังนี้
- ใช้ยาทาภายนอก จะใช้เป็นยาพื้นฐานในการรักษาสิวที่แก้ม ทั้งสิวอักเสบและสิวอุดตัน สำหรับยาทาที่นิยมใช้อยู่ 2 ชนิด ได้แก่
- Retinoids หรือ ยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ ออกฤทธิ์ลดการอักเสบและการอุดตันของรูขุมขน
- Benzoyl Peroxide ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียโดยการปล่อย Free Oxygen Radicals ออกมา ทำให้สามารถฆ่าเชื้อได้โดยที่เชื้อไม่ดื้อยา
ทั้งนี้ แม้กลุ่มยา 2 ชนิดนี้สามารถใช้ร่วมกันได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน เนื่องจาก Retinoids บางชนิดไม่สามารถใช้ร่วมกับ Benzoyl peroxide ได้ รวมถึงยาปฏิชีวนะชนิดทา (Topical Antibiotics), Salicylic Acid และ Azelaic Acid ที่จะใช้แค่ในบางกรณีแล้วแต่การพิจารณาของแพทย์
2. ยาสำหรับรับประทาน เป็นวิธีรักษาสิวอักเสบที่แก้ม ในกรณีที่เป็นสิวอักเสบมากหรืออักเสบรุนแรง เนื่องจากตัวยาสามารถออกฤทธิ์ได้ดีกว่ายาทาภายนอก แต่ส่งผลข้างเคียงมากกว่า จึงมีการจำกัดการใช้ และสามารถใช้ได้ก็ต่อเมื่อแพทย์เป็นผู้จ่ายยาให้เท่านั้น ประกอบไปด้วยกลุ่มยาเหล่านี้
- ยาปฏิชีวนะ (Antibiotic and Antibacterial Agents) ออกฤทธิ์ต่อต้านการทำงานและลดจำนวนเชื้อแบคทีเรีย
- ยา Isotretinoin ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของต่อมไขมัน ลดการอักเสบ และช่วยให้กระบวนการผลัดเซลล์ผิวเป็นปกติ มีผลข้างเคียงค่อนข้างอันตราย
- ยาปรับฮอร์โมน ช่วยให้ปริมาณฮอร์โมนในกลุ่ม Androgen ลดลง ทำให้เซลล์ผิวหนังและต่อมไขมันถูกกระตุ้นน้อยลง ลดโอกาสเกิดสิวที่ผิวหนัง เช่น ยาคุมกำเนิด
3. การรักษาสิวที่แก้มด้วยหัตถการอื่น ๆ เป็นการรักษาทางเลือกเพื่อให้เห็นผลการรักษาที่ดีขึ้น มักจะใช้รักษาร่วมกับยาทาภายนอกหรือยาชนิดทาน ซึ่งหัตถการที่นิยมทำกันมี 2 รูปแบบ ได้แก่
- การกดสิว การกดสิวจะทำในกรณีที่เป็นสิวอุดตัน ซึ่งช่วยป้องกันการพัฒนาของหัวสิวให้ขยายใหญ่ขึ้นและดันผนังรูขุมขนจนกลายเป็นสิวอักเสบได้ สำหรับการกดสิวอุดตันหัวเปิดจะเป็นเพียงการนำหัวสิวเพื่อความสวยงามให้ผิวเรียบเนียน
- เลเซอร์สิว การรักษาที่แพทย์จะใช้ร่วมกับยาทาที่ทำให้แบคทีเรียไวต่อแสงมากขึ้น ช่วยลดจำนวนเชื้อแบคทีเรียบนผิวและลดการทำงานของต่อมไขมัน ส่งผลให้ต้นเหตุของการเกิดสิวลดลง ลดโอกาสเกิดสิวอุดตันและสิวอักเสบได้
4. ปรึกษาแพทย์ผิวหนังออนไลน์ผ่าน SkinX วิธีรักษาสิวที่แก้มที่ดีที่สุด คือ การพบแพทย์ ด้วยการวินิจฉัยแยกโรคและทำการรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่งควรทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านผิวหนังเท่านั้น เพราะจะได้รักษาสิวให้หาย ลดโอกาสเกิดสิวอักเสบรุนแรง ตลอดจนป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นหลังรักษาสิวหายได้
หลายคนอาจเข้าใจว่าปัญหาสิวเป็นเรื่องเล็กเกินกว่าจะปรึกษาแพทย์ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดเพราะสิวสามารถส่งผลกระทบต่อผิวได้โดยเฉพาะเรื่องรูปลักษณ์ในระยะยาว ในปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีหลายอย่างที่ทำให้การปรึกษาแพทย์นั้นง่ายมากขึ้น อย่างการปรึกษาแพทย์ผ่านแอปพลิเคชัน “SkinX” ที่ช่วยให้การพบแพทย์เป็นเรื่องง่าย พบแพทย์ได้ทุกที่ ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องเสียเวลารอคิวทั้งวัน อีกทั้งยังสามารถรอรับยาจากที่บ้านได้อีกด้วย นับเป็นตัวเลือกที่สะดวก รวดเร็ว เพราะผิวดี ไม่ต้องรอ!
วิธีการป้องกันสิวขึ้นที่แก้ม
สิวที่แก้มเกิดจากปัญหาเรื่องการสะสมของแบคทีเรียและเรื่องระดับฮอร์โมนเป็นหลัก ซึ่งวิธีป้องกันการเกิดสิวที่แก้มมีด้วยกันดังนี้
- ล้างหน้าเป็นประจำทุกวัน วันละ 2 ครั้ง
- ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน ไม่เป็นด่างหรือเป็นกรดมากเกินไป จนก่อให้เกิดการระคายเคือง
- ไม่นำมือจับแก้มโดยไม่จำเป็น เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย
- ทำความสะอาดโทรศัพท์มือถืออยู่เป็นประจำด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการนำโทรศัพท์แนบแก้มดด้วยการใช้อุปกรณ์เสริม เช่น หูฟัง
- เปลี่ยนปลอกหมอนบ่อย ๆ เพื่อลดการสะสมของสิ่งสกปรก
- รักษาระดับฮอร์โมนให้เป็นปกติด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ, พักผ่อนให้เพียงพอ, ผ่อนคลายความเครียด, ทานอาหารที่มีประโยชน์ และงดสูบบุหรี่
สรุป
ปัญหาสิวที่แก้มเกิดจากการสะสมของแบคทีเรียและระดับฮอร์โมนที่ผิดปกติเป็นหลัก ดังนั้น การป้องกันรักษาสิวจึงเป็นวิธีที่ช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียบนผิว และการดูแลสุขภาพเพื่อให้ระดับฮอร์โมนเป็นปกติ ซึ่งการเกิดสิวที่แก้มสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุและหลายปัจจัย หากเกิดสิวที่แก้มเป็นประจำจึงควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อหาสาเหตุและรักษาสิวที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่บุคคล
สำหรับใครที่เป็นสิวที่แก้มเรื้อรังแล้วไม่หายสักที สามารถเลือกปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 210 ท่านได้ผ่านแอปฯ SkinX ปรึกษาได้ทุกที่ ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องรอคิวที่สถานพยาบาล ดาวน์โหลดแอปฯ ง่าย ๆ ได้ทั้งระบบ IOS และ Android เพียงคลิกเดียว!
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก
Fard, R.H., Moradi, M., & Hashemipour, M.A. (2018). Evaluation of the Cell Phone Microbial Contamination in Dental and Engineering Schools: Effect of Antibacterial Spray. Journal of epidemiology and global health, 8(3-4): 143–148. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7377557/
National Health Service. (2019, July 12). Acne. NHS. https://www.nhs.uk/conditions/acne/causes/
Neimeier, V., Kupfer, J., Demmelbauer-Ebner, M., et al. Coping with acne vulgaris. Evaluation of the
Chronic skin disorder questionnaire in patients with acne. Dermatology. 1998; 196: 108-115.