สิวเม็ดข้าวสารคืออะไร ใช่สิวจริง ๆ ไหม และมีวิธีป้องกันอย่างไร?
“สิวเม็ดข้าวสารหรือสิวข้าวสาร” (Milia หรือ Milium Cysts) เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนสงสัยว่า ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสิวอุดตัน หรือซีสต์ขนาดเล็กกันแน่ เพราะเมื่อลองสำรวจดูด้วยตาเปล่าจะพบว่ามีส่วนที่เข้าข่ายทั้ง 2 กลุ่ม ทำให้บุคคลทั่วไปไม่สามารถตัดสินได้นั่นเอง โดยผู้ที่เป็นสิวข้าวสารจะพบว่า มีก้อนตุ่มนูนขนาดเล็ก สีขาว มีความแข็ง ขึ้นอยู่เป็นกลุ่มในบริเวณหนึ่งของผิวหนัง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ
ดังนั้น บทความนี้ จะทำให้คุณได้รู้เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับสิวข้าวสาร ไม่ว่าจะเป็นสิวข้าวสารเกิดจากอะไร สิวข้าวสารกับสิวหินใช่ชนิดเดียวกันไหม สิวข้าวสารรักษายังไง? บริเวณที่มักเกิดสิวหัวข้าวสารบ่อย ๆ รวมไปจนถึงคำถามยอดนิยมที่หลาย ๆ คนสงสัย มาร่วมไขข้อข้องใจไปพร้อม ๆ กันได้ที่นี่
Key Takeaway
- สิวข้าวสาร (Milia/Milium Cysts) คือ ความผิดปกติของผิวหนังที่มีอาการแสดงคล้ายคลึงกับสิว โดยถูกจัดอยู่ในกลุ่มซีสต์มีผนังที่มีส่วนประกอบของเคราตินอยู่ภายใน
- สิวข้าวสารมีลักษณะเป็นตุ่มนูนแข็งขนาดเล็ก บางกรณีเป็นสีขาว แต่บางครั้งอาจเป็นสีเดียวกับผิวหนัง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 มิลลิเมตร พบได้ในผิวหนังชั้นตื้น
- สิวข้าวสารสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ผิดปกติของต่อมไขมัน, โรคทางพันธุกรรม, การใช้ยาบางชนิด หรือการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น
- สิวข้าวสารสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยา การเลเซอร์ และการกดสิวออก
สิวข้าวสาร (Milia) คืออะไร?
สิวข้าวสาร (Milia หรือ Milium Cysts) คือ ความผิดปกติของผิวหนังที่มีอาการแสดงคล้ายคลึงกับเม็ดสิว ทำให้คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิด เพราะว่าแท้ที่จริงแล้ว สิวเม็ดข้าวสารถูกจัดอยู่ในกลุ่มซีสต์มีผนังที่มีส่วนประกอบของเคราติน (Keratin) อยู่ภายใน ไม่ใช่กลุ่มสิวอุดตันและสามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่วัยแรกเกิดไปจนถึงวัยชรา
ลักษณะของสิวข้าวสาร คือ มีความเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก แข็ง ๆ บางกรณีเป็นสิวสีขาว แต่บางครั้งอาจเป็นสีเดียวกับผิวหนัง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 มิลลิเมตร อยู่ในชั้นผิวหนังตื้น ๆ พบได้บริเวณใกล้เปลือกตาส่วนบน เปลือกตาส่วนล่าง, แก้ม, จมูก, คาง, สิวที่หน้าผาก และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย อีกทั้งยังสามารถเกิดในตำแหน่งที่ผิวถูกทำลาย เช่น การขัดผิวหน้า อาการไหม้แดด แผลถลอก ฯลฯ
โดยสิวข้าวสารไม่มีความรุนแรงของโรค หรือก่อให้เกิดการอักเสบ แต่หากมีปริมาณมากเกินไป อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการมองเห็น ทำให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียน และส่งผลต่อความมั่นใจได้
สิวข้าวสาร กับ สิวหิน แท้จริงแล้วเหมือนกันหรือไม่?
“สิวข้าวสาร”กับ “สิวหิน” เหมือนกันหรือไม่? ถึงแม้ว่าสิวข้าวสารกับสิวหินจะมีอาการที่ปรากฏคล้าย ๆ กัน แต่แท้ที่จริงแล้วสิวข้าวสารกับสิวหินไม่ใช่สิวชนิดเดียวกัน และมีความแตกต่างกัน ดังนี้
สิวข้าวสาร (Milia)
เป็นซีสต์ไขมันใต้ผิวหนังที่มีการสะสมเคราติน (Keratin) อยู่ภายใน มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 1-2 มิลลิเมตร และไม่อันตรายต่อผิวหนัง โดยสิวข้าวสารสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในทารกแรกเกิด วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่
สิวหิน (Syringoma)
เป็นเนื้องอกต่อมเหงื่อ ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-3 มิลลิเมตร มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีขาวขุ่นหรือสีเหลือง สามารถเกิดขึ้นซ้ำได้อีกแต่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ พบได้บ่อยในกลุ่มคนเอเชียหรือผู้ที่มีผิวเข้ม มักขึ้นบริเวณเปลือกตาล่าง แก้ม และคอ โดยอาการจะเริ่มปรากฏในช่วงวัยรุ่น และมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในช่วงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น (อายุประมาณ 25-30 ปี)
สิวเม็ดข้าวสารเกิดจากอะไร สาเหตุที่แท้จริงในการเกิดสิวข้าวสาร
สิวข้าวสารเกิดจากการรบกวนของรูขุมขนอ่อนด้านบนใกล้กับต่อมไขมัน (Sebaceous collar of vellus hair) หรือท่อของต่อมเหงื่อ (Sweat ducts) ส่งผลให้มีการรวมตัวกันของเคราตินจนแข็งตัว กลายเป็นรอยโรคสิวข้าวสาร (Milium) ซึ่งเกิดขึ้นได้เอง (Primary milia) หรือเกิดตามหลังสาเหตุต่าง ๆ (Secondary milia) ยกตัวอย่างเช่น
- ความเสียหายของผิวหนัง (Traumatic superficial abrasions) เช่น ผื่นอักเสบระคายเคือง, แผล Burn, การทำหัตถการบนผิวหน้า เป็นต้น
- โรคพันธุกรรมบางอย่าง เช่น โรคตุ่มน้ำพองใสชนิดหนึ่ง (Epidermolysis Bullosa : EB) โรคพอร์ไฟเรีย (Porphyria) เป็นต้น
- ยาบางชนิด รวมถึงการใช้ยาทาสเตียรอยด์ ( Topical Corticosteroids) เป็นระยะเวลานาน
- เกิดจากพันธุกรรม หรือมีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นสิวเม็ดข้าวสาร (Milia)
ชนิดของสิวเม็ดข้าวสาร
สิวข้าวสารจะมีชนิดและลักษณะที่แตกต่างกันไปตามสาเหตุของการเกิดสิว โดยสิวเม็ดข้าวสารสามารถแบ่งชนิดได้ดังนี้
สิวข้าวสารแบบปฐมภูมิ
สิวข้าวสารชนิดปฐมภูมิเป็นสิวหัวข้าวสารที่คนมักเป็นกันมากที่สุด และสามารถหายได้เองตามธรรมชาติ โดยสิวชนิดนี้เกิดจากการสะสมของเคราตินใต้ผิวที่ทับถมกัน มักเกิดในบริเวณหน้าผาก เปลือกตา และรอยพับจมูกในเด็กเล็ก
สิวข้าวสารแบบราบ
สิวข้าวสารแบบราบเกิดจากการติดเชื้อใต้ผิวหนังและโรคผิวหนังบางชนิด โดยมักมีลักษณะเป็นก้อนแข็งกลายเป็นปื้นยาว มักเกิดในบริเวณรอบดวงตา, หน้าแก้ม, สันกราม และหลังใบหู
สิวข้าวสารแบบแผลเป็น
สิวข้าวสารแบบแผลเป็นเกิดจากการได้รับบาดเจ็บที่ผิวหนังด้วยสาเหตุต่าง ๆ เช่น ไฟไหม้ การเสียดสี ส่งผลให้เกิดอาการผิวหนังอักเสบและการทำงานของต่อมไขมันผิดปกติไปจนเกิดเป็นสิวเม็ดข้าวสารในที่สุด
วิธีรักษาสิวข้าวสารที่ถูกต้อง
หลายคนอาจมีปัญหาคาใจว่าสิวเม็ดข้าวสารรักษายังไงได้บ้าง และวิธีกำจัดสิวข้าวสารอย่างถูกต้องทำอย่างไร? ในหัวข้อนี้ เราจะมาแนะนำวิธีรักษาสิวเม็ดข้าวสาร ซึ่งสามารถรักษาได้ดังนี้
วิธีรักษาสิวข้าวสารด้วยเลเซอร์
การรักษาสิวข้าวสาร ด้วยวิธีการใช้เลเซอร์กลุ่มคาร์บอนไดออกไซด์(Carbondioxide Laser) คือ การนำคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มาใช้เป็นตัวกลางในการทำให้เกิดแสงเลเซอร์ เพื่อใช้สำหรับทำลายเนื้อเยื่อผิวหนังที่มีความผิดปกติของผิวหนังชั้นตื้น
ส่วนของการรักษา วิธีนี้จะต้องทำการรักษากับแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังเท่านั้น โดยการรักษาจะเริ่มจากการทายาชาหรือฉีดยาชา เมื่อยาชาออกฤทธิ์ จะเริ่มทำการยิงแสงเลเซอร์เข้าสู่ผิวหนังบริเวณที่มีสิวข้าวสารเพื่อกำจัดออกไป จากนั้นจะทายาป้องกันการติดเชื้อ และอาจมีการปิดแผลด้วยปิดปลาสเตอร์หรือไม่ ตามดุลยพินิจของแพทย์
หลังการรักษาอาจพบรอยแผลตื้น ๆ คล้ายแผลถลอกขนาดเล็กได้ ซึ่งควรดูแลรักษารอยแผลต่อตามที่แพทย์ให้คำแนะนำอย่างเคร่งครัด ได้แก่ การหลีกเลี่ยงไม่ให้แผลสัมผัสน้ำประมาณ 24 ชั่วโมง ใช้น้ำเกลือเช็ดแผล ทายาขี้ผึ้งฆ่าเชื้อประมาณ 3 – 7 วัน และควรเข้าพบแพทย์ตามการนัดตรวจ หากแผลไม่เกิดการติดเชื้อ จะทำให้รอยแผลสามารถหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์
การกดสิวข้าวสาร
การกดสิวข้าวสาร เป็นวิธีที่จำเป็นต้องทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น ไม่ควรทำด้วยตนเอง เพราะอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อ เป็นรอยแผลหลังจากการรักษาได้
ช่วงของการรักษาโดยแพทย์ผิวหนังจะใช้วิธีการเปิดหัวสิวข้าวสารด้วยเข็มเจาะผ่านการฆ่าเชื้อมาสะกิดหัว หรือใช้การจี้ด้วยลวดไฟฟ้า (Electrosurgery) และการแต้มด้วยกรดเฉพาะที่ (Chemical peeling) เพื่อเปิดหัวสิวเม็ดข้าวสาร จากนั้นจึงจะสามารถใช้เครื่องมือกดสิว หรือก้านสำลี ค่อย ๆ กดหรือรีดให้สิวเม็ดข้าวสารออกมาจนหมด โดยในกรณีที่พยายามกดสิวข้าวสาร แต่ไม่สามารถทำให้หลุดออกมาได้ อาจจำเป็นต้องพิจารณาวิธีการใช้เลเซอร์ช่วยในการทำร่วมด้วย
การรักษาด้วยยา
ถึงแม้ว่า สิวข้าวสารจะไม่ใช่สิว แต่ก็ยังอาจใช้ครีมรักษาสิวทั่วไปบางชนิด มาใช้รักษาสิวข้าวสารได้ ซึ่งยาที่สามารถใช้ในการรักษาสิวเม็ดข้าวสารได้ มีดังนี้
- ยากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ(Retinoids)
ยากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ(Retinoids) เป็นตัวยาที่สามารถเกาะติดและกระตุ้น Retinoic Acid Receptor (RARs) ได้ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านชีววิทยา (Biological Response) ตามมา โดยยากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอที่สามารถใช้รักษาสิวเม็ดข้าวสาร ได้แก่
Tretinoin : มีฤทธิ์ในการลดการอุดตัน หรือการก่อตัวขึ้นของสิว และยังสามารถต้านการอักเสบได้อีกด้วย โดยยาชนิดนี้ หากได้รับแสงแดดอาจมีประสิทธิภาพลดลง จึงควรใช้เพียงช่วงเวลาตอนกลางคืนเท่านั้น ช่วงแรกของการใช้ยา ควรทดลองและสังเกตผิวของตนเองดูก่อนว่าสามารถทนทานต่อยาได้หรือไม่ อีกทั้งยังทำให้ผิวหนังมีความไวต่อแสงได้ง่ายขึ้น จึงควรใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
“ Fact : ยา Tretinoin ไม่ควรใช้ร่วมกับ Benzoyl Peroxide เนื่องจากจะทำให้ Tretinoin ไม่เกิดฤทธิ์ใดๆ ต่อสิวข้าวสาร”
Adapalene : เป็นตัวยาที่ผู้ใช้ทนทานต่อยาได้มาก มีผลต่อ RARγ receptor โดยเฉพาะ ทำให้ตัวยาทนทานต่อแสง และใช้ร่วมกับ Benzoyl Peroxide ได้ ซึ่ง Adapalene มีระดับความเข้มข้นหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นระดับความเข้มข้น 0.1% รูปแบบเจลไม่ผสมแอลกอฮอล์และแบบครีม
Tazarotene : เมื่อ Tazarotene กลายเป็น Tazarotenic Acid จะเข้าไปยับยั้ง RARβ และ RARγ receptor ทำให้มีการออกฤทธิ์ลดการอุดตันของสิวได้อย่างมาก อย่างไรก็ตาม ยา Tazarotene ไม่แนะนำให้ใช้ในกลุ่มผู้ที่อยู่ในช่วงการตั้งครรภ์และให้นมบุตร
“ Fact : เราสามารถลดการระคายเคืองของ Tazarotene ได้ด้วยการใช้เทคนิค Short-Term Contact Therapy คือ การทาให้ยาสัมผัสกับผิวหนังน้อยลง เช่น ทายาทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วทำการล้างออกด้วยน้ำยาทำความสะอาด เป็นต้น”
ทั้งนี้ Tazarotene ยังไม่มีการนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรไม่ควรเลือกใช้ยาดังกล่าว
- กรด AHA และ BHA
กรด AHA (Alpha Hydroxy Acid) และ BHA (Beta Hydroxy Acid) เป็นกรดที่มักใช้เป็นส่วนผสมของเวชสำอาง ออกฤทธิ์ทำให้ผิวหนังบริเวณหนังกำพร้าชั้นบนสุดเกิดการหลุดลอกออก (Exfoliation) ลดการอุดตันบริเวณรูขุมขน ตัวอย่าง AHA เช่น Glycolic และ Lactic ส่วน BHA ที่นิยมใช้กันคือ Salicylic Acid
ทั้งนี้ การใช้กรด AHA และ BHA ในการรักษาสิวข้าวสารไม่เป็นที่นิยมมากนัก แม้จะหาซื้อง่ายแต่มีความเสี่ยงอาจทำให้ระคายเคือง ทั้งยังเห็นผลการรักษาค่อนข้างช้า แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อกดสิวข้าวสารออกจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ดังนั้น เรื่องของการรักษาด้วยยา จำเป็นต้องแจ้งให้แพทย์ทราบถึงยาอื่น ๆ ที่กำลังใช้อยู่ เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงและปัญหาอื่น ๆ ที่อาจตามมาในอนาคตได้
ปรึกษาแพทย์ผิวหนังกับ SkinX
หากคุณรู้สึกไม่มั่นใจว่าเลือกวิธีรักษาสิวเม็ดข้าวสารแบบใดจึงจะดีที่สุด แนะนำว่าควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง เพื่อตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล รวมไปจนถึงคำแนะนำหลังการรักษา การติดตามผลต่าง ๆ ที่ช่วยลดโอกาสในการเกิดสิวเม็ดข้าวสารซ้ำ
ถึงแม้หลาย ๆ คนอาจมองว่า การเข้าพบแพทย์เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ต้องจองคิว เคลียร์ตารางงานเพื่อลาหยุด ต้องเสียเวลาเยอะ ประเมินค่าใช้จ่ายล่วงหน้า และอีกหลากหลายเหตุผลที่ทำให้หลายคนรู้สึกไม่ชอบการเดินทางไปพบแพทย์
ชีวิตของคุณจะง่ายขึ้น เพียงแค่ใช้ “SkinX” แอปพลิเคชันที่รวบรวมแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังของสถานพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศกว่า 210 ท่าน มาให้คำแนะนำและดูแลการรักษาให้แก่คุณตลอดทั้งกระบวนการ ให้คุณได้รับการรักษาอย่างครบถ้วน โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปยังสถานพยาบาลต่าง ๆ อีกทั้งไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ช่วงเวลาใดก็สามารถปรึกษาได้ง่าย ๆ ไปกับ SkinX
บริเวณที่มักเกิด สิวข้าวสาร
สิวเม็ดข้าวสาร สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของร่างกาย โดยบริเวณที่พบได้บ่อยในคนส่วนใหญ่ มีดังนี้
- สิวเม็ดข้าวสารที่เปลือกตา
- สิวข้าวสารใต้ตา
- สิวเม็ดข้าวสารที่หน้าผาก
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวเม็ดข้าวสาร
ใช้ปูนแดงในการกำจัดสิวข้าวสารได้ไหม?
ปัจจุบัน ยังไม่พบงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ที่สามารถรองรับเรื่องของการใช้ปูนแดงในการกำจัดสิวข้าวสารได้ และไม่แนะนำให้ใช้ปูนแดงในการกำจัดสิวเม็ดข้าวสาร เนื่องจากปูนแดง มาจากการใช้ปูนขาวผสมกับผงขมิ้นและเกลือป่น โดยจะมีฤทธิ์เป็นด่าง เมื่อสัมผัสกับผิว โดยเฉพาะผิวบอบบาง แพ้ง่าย อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองขึ้น และจะอันตรายยิ่งขึ้น หากมีการใช้บริเวณรอบดวงตา
หากรักษาสิวเม็ดข้าวสารจนหายแล้ว จะมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำไหม?
“สิวเม็ดข้าวสาร” สามารถกลับเกิดขึ้นใหม่ได้อีก เนื่องจากอาจมีปัจจัยกระตุ้นในการเกิดสิวข้าวสารและสภาพผิวของแต่ละบุคคล ย่อมมีความแตกต่างกัน ดังนั้น ลองปรึกษาแพทย์ด้านผิวหนัง เพื่อให้คำแนะนำและค้นหาปัจจัยในการเกิดสิวข้าวสาร รวมทั้งให้การรักษาที่เหมาะสมกับตนเอง
สรุปทุกความรู้เกี่ยวกับสิวเม็ดข้าวสาร
สิวข้าวสาร คือ ความผิดปกติของผิวหนังที่มีอาการแสดงคล้ายคลึงกับสิว โดยถูกจัดอยู่ในกลุ่มซีสต์มีผนังที่มีส่วนประกอบของเคราตินอยู่ภายใน สิวเม็ดข้าวสารจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนแข็งขนาดเล็ก มักพบได้ในบริเวณหน้าผากและรอบดวงตา สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ผิดปกติของต่อมไขมัน, โรคทางพันธุกรรม, การใช้ยาบางชนิด หรือการอักเสบของผิวหนัง ซึ่งสิวข้าวสารรักษาได้ด้วยการใช้ยา การเลเซอร์ และการกดสิวออก
ทั้งนี้ การรักษาสิวข้าวสารไม่ควรซื้อยามารักษาด้วยตนเอง เนื่องจากยาที่ใช้รักษาสิวเม็ดข้าวสารมีข้อควรระวังเป็นจำนวนมาก จึงควรใช้ยาภายใต้ความดูแลของแพทย์เท่านั้น
สำหรับผู้ที่ต้องการจะรักษาสิวข้าวสารแต่ไม่สะดวกเดินทางมาพบแพทย์ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน SkinX เพื่อพบกับแพทย์ออนไลน์โดยตรงได้เลย ปรึกษาครั้งแรกได้ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมพบกับโปรสกินแคร์ และดีลความงามจากคลินิกชื่อดังได้อีกมากมาย
บทความนี้ได้รับการตรวจความถูกต้องของเนื้อหาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังแล้ว
เอกสารอ้างอิง
Gnanapragasam, V. (2006, March 10). At A Glance-Syringoma versus milia. GP. https://www.gponline.com/glance-syringoma-versus-milia/dermatology/article/586352
Huizen, J. (2017, October 25). What is syringoma and how is it treated?. Medical News Today. https://www.medicalnewstoday.com/articles/319805#surgical-options
Kinman, T. (2018, June 1). Milium Cysts in Adults and Babies. Healthline. https://www.healthline.com/health/milia
Palmer, A. (2021, December 09). The Best Ways to Treat and Prevent Milia. Verywellhealth. https://www.verywellhealth.com/how-to-treat-milia-15668
Porter, D. (2021, May 18). What Are Milia?. American Academy of Ophthalmology. https://www.aao.org/eye-health/diseases/what-are-milia
Thomas, Liji. (2019, February 27). Milia Causes. News Medical Life Sciences. https://www.news-medical.net/health/Milia-Causes.aspx
Watson, K. (2019, March 07). Home Remedies to Remove Milia from Under Your Eyes. Healthline. https://www.healthline.com/health/milia-under-eyes
What to Know About Milia. (n.d.). WebMD. https://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/what-to-know-about-milia