ผมร่วง ผมบาง ปัญหาใหญ่ที่แก้ไขได้ไม่ยาก
ผมร่วง (Alopecia หรือ Hair Loss) เป็นปัญหาที่มักพบได้บ่อยทั้งผู้ชายและผู้หญิง ลักษณะความรุนแรงของผมร่วงจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ส่วนใหญ่แล้วมักจะกระทบต่อสภาพจิตใจของผู้ป่วยมากกว่าสุขภาพทางกาย หากพบว่าตนเองมีอาการผมร่วงมากกว่าปกติ หรือผมบนหนังศีรษะเริ่มบาง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
ในบทความนี้ SkinX จะพามาทำความรู้จักกับภาวะ “ผมร่วง” เบื้องต้นว่าเกิดจากอะไร แบบไหนถึงเรียกว่าผมร่วง มีวิธีรักษาและป้องกันผมร่วงอย่างไรบ้าง?
SkinX แอปพลิเคชันพบหมอผิวหนังออนไลน์ ที่ได้รวบรวมเหล่าทีมแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำมากกว่า 210 คน มาให้คำปรึกษาโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิว ผิวหน้า หัตถการความงามอย่าง ฟิลเลอร์และโบท็อกซ์ รวมถึงปัญหาผมและหนังศีรษะ สำหรับผู้ใช้บริการรายใหม่ สามารถปรึกษาแพทย์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ผมร่วงคืออะไร แบบไหนถึงเรียกว่าผมร่วง
โรคผมร่วง (Alopecia) คือการสูญเสียเส้นผมบนศีรษะ โดยจะมีลักษณะความรุนแรงที่แตกต่างกัน เราจะสามารถสังเกตเห็นเส้นผมจำนวนมากหลังจากสระผม หรือผมจับกันเป็นก้อนในแปรงหวีผม ผมร่วงเยอะมากบนหมอน หรือผมมีลักษณะบางจนเห็นเป็นหย่อม ๆ อาการเหล่านี้เริ่มแสดงว่ามีผมร่วงมากกว่าปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของผมร่วง และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลต่อไป
ทั่วไปแล้วคนปกติจะมีผมร่วงวันละประมาณ 100-150 เส้น ผมที่ขึ้นใหม่ก็จะขึ้นมาทดแทนกัน โดยที่เราไม่ทันสังเกตว่าผมน้อยลง แต่ถ้าวันไหนสระผมอาจจะมีจำนวนผมร่วงมากขึ้น
การจำแนกประเภทของผมร่วง สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
- Non-Scarring หรือ Non-Cicatricial Alopecias เป็นผมร่วงแบบไม่มีแผลเป็นบนหนังศีรษะ ผมร่วงในลักษณะนี้สามารถรักษาให้หายโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็น หรือเรียกได้ว่าไม่ร่วงถาวร เนื่องจากเซลล์รากผมยังไม่ถูกทำลายอย่างถาวร อาการผมร่วงเป็นหย่อม ๆ (Alopecia Areata) ก็จัดอยู่ในประเภทนี้
- Scarring หรือ Cicatricial Alopecias เป็นผมร่วงแบบมีแผลเป็นบนหนังศีรษะ เซลล์รากผมถูกทำลาย ทำให้ผมร่วงอย่างถาวร โดยโรคที่พบบ่อยจากภาวะผมร่วงคือ โรคทางผิวหนังที่เกิดจากการอักเสบ หรือติดเชื้อแบบรุนแรง หรือมีระยะเวลานาน ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อ
“บนหนังศีรษะของเราจะมีรูขุมขนอยู่ประมาณ 50,000 รูขุมขน แต่ละรูขุมขนสามารถมีผมอยู่ได้ตั้งแต่ 1-4 เส้น ทำให้หนังศีรษะเรามีผมอยู่ทั้งหมดประมาณ 100,000 เส้น”
สาเหตุของผมร่วง มีอะไรบ้าง?
ผมร่วงเกิดจากอะไร? ผมร่วงในแต่ละวันเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ อย่างที่กล่าวไปว่าผมคนเราจะร่วงวันละประมาณ 100-150 เส้น และจะมีเส้นผมใหม่ขึ้นมาทดแทน แต่ในบางคนมีภาวะผมร่วงเยอะมาก ทำให้เริ่มสังเกตได้ว่าผมบางลงเรื่อย ๆ จนอาจเกิดหัวล้านได้ สำหรับสาเหตุผมร่วงมีหลากหลายอย่าง สามารถแบ่งได้ดังนี้
ผมร่วงจากพันธุกรรม
ผมร่วงที่เกิดจากพันธุกรรม (Androgenetic Alopecia : AGA) สามารถพบได้ในเพศชายและเพศหญิง สาเหตุของผมร่วงส่วนมากเกิดจากพันธุกรรมถึง 80% โดยจะมีลักษณะเส้นผมเล็ก ผมบางลง ร่วงง่าย ผมที่ขึ้นใหม่ไม่แข็งแรงจนเห็นหนังศีรษะ ผมร่วงจากพันธุกรรมมักพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง เนื่องจากฮอร์โมน DHT ที่ทำให้รากผมและขนเสื่อมสภาพพบมากในผู้ชาย
สาเหตุของอาการผมร่วง หรือหัวล้านจากพันธุกรรมเกิดจากยีน (Gene) ตัวหนึ่งที่อยู่บนโครโมโซม X ยีนตัวนี้ไม่ได้ทำให้ผมร่วงหรือหัวล้านโดยตรง แต่จะไปทำให้ Androgen receptor ที่รากผมทำงานได้ดียิ่งขึ้น ซึ่ง Receptor ตัวนี้เป็นตัวรับฮอร์โมน DHT ซึ่งทำให้เกิดผมบาง เมื่อตัวรับทำงานได้ดีผมจึงบางลงมากขึ้นนั่นเอง
โรคบางชนิดที่อาจทำให้ผมร่วงได้
โรคที่สามารถทำให้เกิดภาวะผมร่วงได้ ไม่ว่าจะเป็น โรคต่อมไทรอยด์ โรคผิวหนังเดิมของผู้ป่วย ทำให้มีการอักเสบที่รบกวนการเติบโตของเส้นผม รวมถึงการติดเชื้อ เช่น เชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัสที่บริเวณหนังศีรษะ นอกจากนี้ยังมีการเจ็บป่วยทางกายอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการเติบโตของเส้นผม การติดเชื้อซิฟิลิส เอชไอวี โรคทางผิวหนัง DLE โรคทางภูมิคุ้มกัน SLE และโรคโลหิตจาง ที่ทำให้เกิดภาวะผมร่วงได้
ปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน
ปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน DHT เป็นตัวการหลักที่ทำให้เส้นผมที่งอกใหม่มีขนาดเล็กลง เมื่อเวลาผ่านไปเส้นผมที่เล็กลงจะไม่สามารถปกปิดหนังศีรษะได้เหมือนเดิม โดยฮอร์โมน DHT เป็นฮอร์โมนที่สร้างมาจากฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) เมื่อฮอร์โมนนี้เข้ามาที่เนื้อเยื่อบริเวณรากผม เอนไซม์ในบริเวณนั้นจะเปลี่ยนฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเป็นฮอร์โมน DHT ทำให้ผมที่ผลิตออกมาเส้นเล็กลงเรื่อย ๆ และผมร่วงง่าย รากผมผลิตผมน้อยลงจนรากผมฝ่อหายไปเกิดเป็นหัวล้านได้
หรือปัญหาฮอร์โมนในผู้หญิง เช่น ภาวะหลังคลอดมีการลดลงของฮอร์โมนอย่างฉับพลันทำให้ผมร่วงหลังคลอดได้ 3-6 เดือน หรือผู้หญิงบางคนอาจจะมีภาวะฮอร์โมนเพศชายเยอะจะมาด้วยผมบาง มีสิวเยอะ มีขนหนวดเส้นหนา และประจำเดือนมาผิดปกติ
ขาดสารอาหารหรือแร่ธาตุ
การขาดสารอาหารหรือผู้ที่กำลังลดน้ำหนักแบบผิดวิธี จะยิ่งเสริมให้เส้นผมเปราะและดูบางลงได้ ผู้ที่ผมร่วงจากภาวะขาดสารอาหารควรเสริมธาตุเหล็ก เนื่องจากธาตุเหล็กจะส่งผลต่อการเจริญของเส้นผม โดยธาตุเหล็กมักจะพบในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ไข่ นม ผักใบเขียว และเมล็ดพืชบางชนิด ผู้ป่วยที่ขาดธาตุเหล็กอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เล็บเปราะบาง อ่อนเพลีย เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุอื่น ๆ ที่ช่วยบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะด้วย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี โปรตีน เป็นต้น
“การกินผงชูรสเยอะไม่ทำให้ผมร่วงแต่อย่างใด แต่การกินอาหารรสจัดสามารถทำให้ผมร่วงทางอ้อมได้ เนื่องจากอาหารรสจัดจะทำให้เส้นเลือดหดเกร็ง ส่งผลกับความดันทำให้เลือดไปเลี้ยงรากผมไม่เพียงพอ”
ยาและวิตามินบางชนิด
การรับประทานยาหรือวิตามินบางชนิด เช่น ยารักษาสิวที่มีส่วนผสมของวิตามินสังเคราะห์ ยาลดไขมันในเส้นเลือด ยารักษาโรคไขข้อเสื่อม ยารักษาโรคมะเร็ง หรือยาลดความดันบางชนิด รวมถึงวิตามินอาหารเสริมบางชนิดที่บริโภคเกินความจำเป็น สามารถระงับการเจริญเติบโตของรากผม ทำให้เกิดผมร่วงได้ หากหยุดยาอาการผมร่วงอาจกลับมาเป็นปกติ
ความเครียดสะสม
ความเครียดที่สะสมสามารถทำให้เกิดภาวะผมร่วงได้ ปัญหานี้มักเกิดขึ้นกับคนที่ต้องเจอกับความเครียดอยู่เป็นประจำ ซึ่งความเครียดเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ ส่งผลให้เป็นหนึ่งในสาเหตุผมร่วงด้วย เพราะเมื่อเกิดความเครียดร่างกายจะผลิตฮอร์โมนแห่งความเครียด หรือฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) เพิ่มขึ้น ทำให้เส้นผมอ่อนแอลงได้
ในบางผู้ป่วยบางคนอาจมีพฤติกรรมทำลายเส้นผม เช่น การดึงผมตัวเองโดยไม่รู้ตัว (Trichotillomania) ซึ่งการกระทำนี้จะทำร้ายหนังศีรษะและวงจรการเจริญเติบโตของเส้นผมผิดปกติ ทำให้การงอกใหม่ของเส้นผมช้าลงจนในที่สุดผมบางลงได้
การทำคีโมหรือการใช้เคมีบำบัด
เคมีบำบัด หรือการทำคีโมเป็นการใช้ตัวยาเคมีบำบัดเพื่อหยุดการเติบโต และการเพิ่มจำนวนของเซลล์มะเร็ง โดยยาเคมีจะเข้าถึงเซลล์มะเร็งผ่านทางกระแสเลือด ทำให้เซลล์รากผม เซลล์เยื่อบุในช่องปาก เม็ดเลือด หรือเซลล์ปกติที่มีการเพิ่มจำนวนแบบรวดเร็ว ได้รับผลกระทบ เกิดความเสียหายต่อเซลล์เหล่านี้ด้วยเช่นกัน ส่งผลให้เกิดภาวะผมร่วงได้
จะรู้ได้อย่างไรว่าอยู่ในภาวะผมร่วง?
- ผมหลุดร่วงระหว่างวันเกินวันละ 200 เส้น อาจเป็นอาการผมร่วงเฉียบพลัน
- ผมร่วงเยอะมากกว่าวันละ 100-150 เส้น ในคนที่สระผมเป็นประจำทุกวัน หรือผมร่วงมากกว่า 200 เส้น ในคนที่สระผมห่างกันครั้งละ 3-4 วัน
- ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ จนมีขนาดเล็กเท่าเหรียญสิบ
ลองตรวจหนังศีรษะและเส้นผมเองได้ตามวิธีดังนี้
- ตรวจโดยการดึงผม (Hair Pull) ใช้นิ้วมือหยิบเส้นผม 1 ช่อ ประมาณ 60 เส้นแล้วลองดึงดูโดยไม่ต้องใช้แรงมาก ถ้าหากมีผมหลุดติดมามากกว่า 6 เส้น แสดงว่าอาจเกิดภาวะผมร่วงได้
- การเก็บและนับเส้นผม (Hair Collection and Count) ในแต่ละวันให้เราลองเก็บและรวบรวมเส้นผมที่ร่วงแล้วใส่ซองแยกไว้เป็นวัน ๆ เมื่อเก็บครบ 7 วันแล้วหากพบว่าตนเองมีพบร่วงมากเกินกว่าปกติ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุผมร่วงต่อไป
แนวทางการวินิจฉัยผู้ป่วยผมร่วงและผมบาง
ภาวะผมร่วงและผมบางสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
ภาวะผมร่วงเฉพาะที่ (Localized Alopecia)
1. ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ โดยที่ไม่มีรอยแผลเป็น (Localize non-scarring alopecia)
- โรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia Areata) อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่สร้างความเสียหายกับรากผม ทำให้รากผมมีขนาดเล็กลงจนผมหลุดร่วงออกมา โดยจะมีอาการผมร่วงเป็นหย่อม ๆ มีขนาดเท่าเหรียญขนาดใหญ่ บางรายอาจมีอาการเจ็บร่วมด้วย รวมถึงอาจมีขนร่วงที่คิ้ว ขนตา หนวดเครา ขนบริเวณใบหน้าหรือลำตัว เป็นต้น
- เชื้อราที่หนังศีรษะ (Tinea Capitis) หรือโรคกลากที่ศีรษะ จะมีผมร่วงเป็นหย่อม ๆ เส้นผมเปราะ หักง่าย อาจจะพบว่ามีการอักเสบ หรือไม่มีก็ได้ เชื้อราที่หนังศีรษะนี้มักเกิดในเด็กช่วงก่อนวัยรุ่น สามารถมองเห็นเป็นขุยเล็ก ๆ และเห็นผมสั้น ๆ โผล่ออกมาจากบริเวณขุยบนหนังศีรษะ โดยเชื้อราที่อยู่ส่วนตื้นจะทำลายเส้นผมและผิวหนังบริเวณนั้น ทำให้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผมร่วง
- โรคดึงผมตัวเอง (Trichotillomania) คือโรคที่เกี่ยวกับภาวะจิตใจ เมื่อดึงผมไปเรื่อย ๆ เป็นเวลานานติดต่อกันสามารถทำให้ผมร่วงจนกลายเป็นหย่อม ๆ ได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นโรคดึงผมตัวเองมีทั้งพฤติกรรมดึงผมเองแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว นอกจากดึงผมแล้ว ผู้ป่วยโรคนี้อาจใช้มือม้วนผมบ่อย ๆ รวมถึงดึงขนในส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ขนตา ขนคิ้ว กัดเล็บ กัดปาก เป็นต้น
2. ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ โดยที่มีรอยแผลเป็น (Localized scarring alopecia)
- Discoid Lupus Erythematosus (DLE) เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง โดยจะเกิดการอักเสบบริเวณผิวหนัง ที่อาจจะเกิดขึ้นบริเวณหนังศีรษะ ทำให้เกิดการทำลายรากผม ส่งผลให้ผมร่วง โดยบริเวณที่มีผมร่วงจะพบหนังศีรษะมีอาการแดง มีสะเก็ดที่ผิวหนังมาอุดบริเวณรูขุมขน ตรงกลางหย่อมผมร่วงมีสีอ่อนลง บริเวณรอบนอกมีสีน้ำตาลเข้ม สามารถพบอาการคันหรือเจ็บหนังศีรษะร่วมด้วย
ภาวะผมร่วงทั่วศีรษะ (Diffuse Alopecia)
- Male Pattern hair loss (Androgenic Alopecia) เป็นอาการผมร่วงในเพศชาย โดยรูขุมขนบนหนังศีรษะมีความอ่อนไหวต่อฮอร์โมน DHT ส่งผลให้เส้นผมมีอายุสั้นกว่าปกติ ทำให้เส้นผมร่วงได้ง่าย และเส้นผมที่ขึ้นใหม่มีเส้นเล็กและบางลง อาการผมร่วงในลักษณะนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ชายอายุ 20 ปีขึ้นไป
- การติดเชื้อซิฟิลิสระยะ 2 (Secondary Syphilis) อาจทำให้เกิดผมร่วงเฉพาะแห่งกระจายทั่วศีรษะ มักจะเป็นร่วงเป็นวงเล็ก ๆ ทั่ว ๆ ศีรษะ
- ภาวะผมบางจากกรรมพันธุ์และฮอร์โมนเพศ รากผมจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงจากผมเส้นใหญ่ไปเป็นเส้นผมเล็ก ถ้าเกิดในผู้ชายผมจะบางลงมากในบริเวณกลางศีรษะ หากเกิดในผู้หญิงผมจะบางตรงกลางหรือรอยแสกผม
การรักษาอาการผมร่วง ผมบาง มีอะไรบ้าง?
วิธีรักษาผมร่วงได้ด้วยตนเอง
- ไม่มัดผมแน่น ม้วนผม หรือบิดผมเล่น และควรหวีผมอย่างเบามือ
- ไม่สระผมด้วยน้ำร้อนจัดและเป่าผมด้วยความร้อนสูง รวมถึงหลีกเลี่ยงการหนีบผม หรือหวีผมในขณะที่ผมเปียก
- หลีกเลี่ยงการทำเคมีให้น้อยที่สุด เช่น การทำสีผม กัดสีผม การยืดผม เพราะจะทำให้ผมแห้งเสียมากกว่าเดิม
- ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ไม่เครียดจนเกินไป
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
- เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ มีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการสร้างและบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงขึ้น
- การสวมวิกผมปลอม หรือการใช้ Hair Piece
- การใช้ยารักษาโรคบางชนิดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ทำให้ผมร่วงได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหยุดการใช้ยาหรือเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่น
“รังแคเกิดจากหนังศีรษะขาดความชุ่มชื้น หรือในบางรายอาจเกิดการอักเสบ ผู้ที่มีรังแคจะมีขุยหรือสะเก็ดขาว ๆ อยู่ที่เส้นผมและหนังศีรษะ อาจมีอาการคันหนังศีรษะร่วมด้วย ซึ่งส่งผลต่อบุคลิกภายนอกอีกทั้งยังสามารถทำให้ผมขาดหลุดร่วงได้จากการที่รากผมถูกทำลาย”
วิธีรักษาผมร่วงทางการแพทย์
- การรับประทานยา
การใช้ยาแก้ผมร่วง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้งเพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น โดยยาที่ใช้รักษาอาการผมร่วง ผมบางดังนี้
- ยาไมนอกซิดิล (Minoxidil) เป็นยาชนิดน้ำและโฟม จะช่วยในเรื่องการเจริญเติบโตของเส้นผมและช่วยป้องกันไม่ให้ผมร่วง สามารถใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
- ยาฟิแนสเทอไรด์ (Finasteride) เป็นยาที่ใช้ตามใบสั่งแพทย์และจะใช้ในเฉพาะผู้ชายเท่านั้น โดยจะช่วยชะลอการเกิดผมร่วงและผมบางมาก
- ศัลยกรรมปลูกผม ย้ายเซลล์รากผม
การปลูกผม หรือศัลยกรรมปลูกผมจะเป็นการนำเอารากผมปลูกลงบนหนังศีรษะในตำแหน่งที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง หรือหัวล้าน ซึ่งผมใหม่ที่ขึ้นมาจะอยู่ในตำแหน่งที่ปลูกอย่างถาวร สามารถขึ้นใหม่และหลุดร่วงได้ตามวงจรของผม โดยปัจจุบันมีวิธีปลูกผม ดังนี้- FUE แบบเจาะ การปลูกผมแบบ (FUE) จะเป็นการปลูกถ่ายเซลล์รากผมลงไปในพื้นที่ที่ผมร่วงผมบางมาก ทำให้พื้นที่นั้นมีเซลล์รากผมถาวร เมื่อผมงอกแล้วจะไม่มีการหลุดร่วงซ้ำ การปลูกผมแบบ FUE จะช่วยแก้ปัญหาหัวล้าน ศีรษะเถิกได้ นอกจากนี้แผลจากการผ่าตัดจะมีขนาดเล็กมาก
- Strip หรือ FUT แผลตัดเย็บ เป็นวิธีการปลูกผมถาวรที่มีประสิทธิภาพสูง โดยจะย้ายเซลล์ต้นกำเนิดหรือเซลล์รากผมจากบริเวณที่เส้นผมแข็งแรงไปปลูกในบริเวณผมร่วงผมบาง การปลูกผม FUT มีข้อดีคือรากผมจะเสียหายน้อย โอกาสปลูกผมติดจะมีมากขึ้น
- PRP ฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น
การทำ PRP ผม หรือการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น จะช่วยเพิ่มอาหารผม ทำให้ผมงอกได้ดีขึ้น โดยจะฉีด PRP เข้าไปที่หนังศีรษะในส่วนที่มีอาการผมร่วง ผมบาง เพื่อให้สาร PRP ไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผมให้มีการเจริญเติบโตขึ้น
- Rigenera Activa เซลล์เทอราปี
เป็นการปลูกผมที่ไม่ต้องผ่าตัด โดยจะปลูกผมในลักษณะการฉีดสเต็มเซลล์เข้าสู่บริเวณที่เกิดปัญหาผมร่วง ผมบาง สเต็มเซลล์จะไปกระตุ้นให้เซลล์เข้าไปฟื้นฟูรากผมที่อ่อนแอให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
- FOTONA Laser โฟโตน่าเลเซอร์
การทำโฟโตน่าเลเซอร์ (Fotona Laser) เป็นการใช้เลเซอร์ยิงด้วยพลังงานต่ำเข้าไปที่บริเวณผมร่วงผมบาง เลเซอร์นี้จะเข้าไปช่วยกระตุ้นเส้นผม เสริมสร้างรากผม ทำให้ผมแข็งแรงขึ้น ผมที่ขึ้นใหม่มีเส้นใหญ่ ผมไม่ร่วงง่าย
- LLLT หมวกเลเซอร์
ปลูกผมด้วยเลเซอร์ LLLT จะช่วยรักษาอาการผมร่วงผมบางในระยะเริ่มต้น ช่วยสมานแผลให้เร็วขึ้น ลดอาการหนังศีรษะอักเสบ โดยจะฉายเลเซอร์ LLLT พลังงานต่ำลงไปที่หนังศีรษะ พลังงานนั้นจะช่วยกระตุ้นเซลล์รากผมให้ทำงานดีขึ้น สารอาหารมาเลี้ยงได้มากขึ้น ทำให้ผมแข็งแรงและงอกเร็ว ผมร่วงน้อยลง
- ทายากระตุ้นเส้นผม
ยาทาหนังศีรษะไมนอกซิดิล (Minoxidil) จะช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผม สามารถใช้ได้ทั้งชายและหญิง อาจมีผลข้างเคียงที่พบได้ เช่น ระคายเคืองผิวหนัง หรือมีขนขึ้นตามใบหน้า
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
Cicatricial (Scarring) Alopecia. Mount Sinai. https://www.mountsinai.org/care/dermatology/services/alopecia-areata/cicatricial#:~:text=Scarring%2C%20or%20cicatricial%20alopecia%2C%20is,treating%20this%20form%20of%20alopecia.
Hair Loss. (2022, March 26). Mayo Clinic. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hair-loss/symptoms-causes/syc-20372926#:~:text=Hair%20loss%20(alopecia)%20can%20affect,it’s%20more%20common%20in%20men.