สิว (Acne) ปัญหาผิวกวนใจ เกิดทีไรแก้ยากทุกที!
“สิว” ต้นเหตุที่ทำให้หลายคนรู้สึกเสียความมั่นใจ เพราะคนส่วนใหญ่ยังชื่อว่าคนเป็นสิว ไม่ว่าที่ลำตัว หรือหน้า การมีสิวเกิดจากการไม่รักษาความสะอาด แต่ที่จริงแล้วความสกปรกไม่ใช่สาเหตุส่วนใหญ่ของการเกิดสิว และสิวยังคงสามารถเกิดขึ้นได้แม้จะรักษาความสะอาดดีแล้วก็ตาม
ในบทความนี้ SkinX จะพาไปรู้จักกับสิว ว่าสิวคืออะไร ต้นตอของสิวเกิดจากอะไร สิวมีกี่ประเภท ขึ้นที่ใดได้บ้าง แล้ววิธีรักษาสิวแต่ละประเภทคืออะไร เหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้าง?
ปัญหาสิว ไม่ใช่เรื่องสิว ๆ อย่างที่คิด ต้องการหาทางออก แนะนำปรึกษาแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางกับ SkinX แอปพลิเคชันพบแพทย์ผิวหนังออนไลน์ ให้คุณได้พบแพทย์เฉพาะทางได้ง่ายกว่าเดิม ไม่ต้องลางานหรือเสียเวลารอคิวที่โรงพยาบาลแบบเดิม ๆ อีกต่อไป ดาวน์โหลดเลยที่ App store & Play store
สรุป ปัญหาสิว ปัญหาผิวที่กวนใจใครหลายคน
- สิว เป็นภาวะความผิดปกติของรูขุมขนและต่อมไขมันในรูขุมขน จนเกิดการอุดตันกลายเป็นสิว ทั้งยังอาจทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นติดเชื้อและอักเสบจนเป็นสิวอักเสบได้
- สิวแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ แบ่งตามความรุนแรง ได้แก่ รุนแรงเล็กน้อย รุนแรงปานกลาง และรุนแรงมาก และแบ่งตามลักษณะการอักเสบของสิว ได้แก่ สิวไม่อักเสบหรือสิวอุดตัน และสิวอักเสบ
- สิวเกิดได้จาก 4 ปัจจัย ได้แก่ เซลล์ในรูขุมขนเพิ่มจำนวนเซลล์มากเกินไป, ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป, มีเชื้อแบคทีเรีย P. acne มากเกินไป และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันด้วยการอักเสบ
- สิวเกิดได้หลายบริเวณทั้งหน้าอก หลัง และบนใบหน้า ทั้งนี้บริเวณเส้นกึ่งกลางลำตัวอย่างหน้าผาก จมูก และคาง จะเกิดสิวได้มากกว่าบริเวณอื่น เพราะเป็นบริเวณที่มีการผลิตน้ำมันมาก
- ในการรักษาสิว แพทย์จะพิจารณาวิธีรักษาสิวที่เหมาะสมกับคนไข้ ทั้งด้านปัจจัยการเกิดสิว ความรุนแรงของสิว และวิธีการรักษา โดยมีหลักการรักษาสิวคือ ทำให้กระบวนการผลัดเซลล์ผิวกลับมาเป็นปกติ, ลดการทำงานของต่อมไขมัน, ลดจำนวนแบคทีเรียบริเวณรูขุมขน และลดการอักเสบ
- การรักษาสิวมีอยู่หลายวิธี ทั้งการรักษาเฉพาะที่ โดยการทำความสะอาดและการใช้ยาทาภายนอก, การใช้ยาปฏิชีวนะ, การใช้ยา Isotretinoin, การงดนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม, การทำหัตถการต่าง ๆ อย่างการกดสิวหรือทำเลเซอร์ และการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง
สิว คืออะไร
สิวคืออะไร? สิว (Acne หรือ Acne Vulgaris) เป็นภาวะความผิดปกติบริเวณรูขุมขนและต่อมไขมันในรูขุมขน เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้น รูขุมขนจะอุดตันจนเกิดเป็นสิว ทั้งยังอาจทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นติดเชื้อและอักเสบจนกลายเป็นสิวอักเสบได้ ทั้งนี้อาการของสิวจะแตกต่างกันไปตามชนิดและระยะของสิว ดังนี้
– เกิดตุ่มนูนขึ้นมาจากผิวหนังจากการอุดตันของปากรูขุมขน (Comedone)
– เมื่อปากรูขุมขนอุดตันมากขึ้นจะเกิดเป็นถุงในรูขุมขน หากอุดตันขึ้นเรื่อย ๆ หรือถูกรบกวนจนผนังรูขุมขนเสียหาย สิ่งที่อยู่ภายในถุงนั้นจะปริเข้าสู่ชั้นลึกของผิวหนัง และกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ภายนอกก็จะเห็นเป็นรอยแดง บางครั้งอาจมีหนองด้วย
– หากติดเชื้อในผิวหนังชั้นที่ลึกร่วมด้วยก็จะกลายเป็นก้อนสิวที่เป็นไตแข็งอักเสบอยู่ใต้ผิวหนังซึ่งรักษาได้ยากขึ้น
สิวเป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อย และพบได้มากถึง 85% ของประชากรที่อยู่ในช่วงอายุ 12-25 ปี ส่วนในช่วงอายุอื่น ๆ แม้กระทั่งทารกแรกเกิดก็สามารถพบสิวได้ โดยมักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
สาเหตุการเกิดสิว เกิดจากอะไร?
กระบวนการการเกิดสิวนั้นค่อนข้างซับซ้อน สาเหตุการเกิดสิวจึงมีหลายปัจจัยประกอบกัน ซึ่งเมื่อเป็นสิว ปัจจัยสาเหตุการเกิดสิวดังกล่าวอาจเกิดขึ้นเพียงแค่อย่างเดียว หรือเกิดจากหลายๆอย่างร่วมกันก็ได้ โดยสิวนั้นเกิดจากปัจจัยของการเกิดสิว 4 ปัจจัย ดังนี้
1. เซลล์ในรูขุมขนเพิ่มจำนวนเซลล์มากเกินไป (Follicular epidermal hyperproliferation)
เซลล์ที่อยู่ในรูขุมขนที่เรียกว่าเซลล์ keratinocyte จะผลัดตัวออกมาและหลุดออกจากรูขุมขนเป็นปกติเมื่อหมดอายุไข แต่ถ้า keratinocyte เพิ่มจำนวนเซลล์มากเกินไป จนเซลล์ตายและหลุดออกมามากกว่าปกติ อาจทำให้เซลล์ที่ต้องถูกผลัดออกนั้นเกาะตัวและสะสมกันอยู่ภายในรูขุมขน
Fact: “keratinocyte คือเซลล์ชนิดหนึ่งในรูขุมขน ทำหน้าที่สร้างเคราติน เช่น เล็บ ขน หรือผมนั่นเอง”
เมื่อกลุ่มเซลล์ keratinocyte เกาะตัวรวมกันขวางรูขุมขนอยู่ จะทำให้สิ่งที่สร้างจากส่วนต่างๆ ในรูขุมขนหรือสิ่งที่มีอยู่ในรูขุมขนอยู่แล้ว อย่างเคราติน (keratin) น้ำมันจากต่อมไขมัน (Sebum) และแบคทีเรียสะสมจนเกาะตัวกันเป็นก้อน ทำให้ปากรูขุมขนหรือรูขุมขนส่วนบนขยายออก เกิดเป็นสิวอุดตันที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หรือ “microcomedones”
เมื่อเคราติน น้ำมันจากต่อมไขมัน และแบคทีเรียสะสมรวมตัวกันเรื่อยๆ microcomedones จะใหญ่ขึ้นกลายเป็น comedones หรือที่เรียกว่า “สิวอุดตัน” นั่นเอง
2. ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป (Sebum production)
ปกติแล้วต่อมไขมันมีหน้าที่ผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิวหนังไว้ เป็นเกราะป้องกันผิวหนังและช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น แต่หากต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป จะทำให้เกิดสิวได้ ซึ่งกระบวนการก่อให้เกิดสิวมีดังนี้
– ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) ที่จะถูกแบคทีเรีย P. acne ย่อยให้กลายเป็นกรดไขมันอิสระ
– กรดไขมันอิสระ (Free Fatty Acids) ช่วยปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับการอยู่อาศัยของแบคทีเรีย P. acne แบคทีเรียชนิดนี้จึงขยายตัวอย่างรวดเร็ว แล้วกระตุ้นให้เกิดการอักเสบจนเกิดเป็นสิวได้
เมื่อ Sebum เพิ่มมากขึ้นจะทำให้ปริมาณกรดลิโนเลอิก (Linoleic acid) ลดลง ส่งผลให้เกิดสิวมากกว่าเดิม ทั้งนี้ หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไปคือ การกระตุ้นจากฮอร์โมนในกลุ่มฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen)
Fact: “กลุ่มฮอร์โมนแอนโดรเจน ประกอบด้วย Testosterone, Androstenedione, Dehydroepiandrosterone (DHEA), DHEA sulfate (DHEA-S), และฮอร์โมนที่มีผลทำให้เกิดสิวได้มากที่สุด Dihydrotestosterone (DHT)” ฮอร์โมนแอนโดรเจนนอกจาก
3.เชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acne (P. acne)
P. acne (Propionibacterium acnes) หรือ C. acne (Cutibacterium acnes) เป็นแบคทีเรียที่พบได้ปกติบนผิวหนัง ในรูขุมขน และในต่อมไขมันของคนเรา ซึ่งจากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสิวในปัจจุบัน พบว่า P. acne เป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถทำให้เกิดสิว ดังนี้
– หาก P. acne มีมากเกินไป อาจกระตุ้นให้เกิดผิวหนังอักเสบจนเกิดสิวตามมาได้
– P. acne ย่อยสลายไตรกลีเซอไรด์ให้กลายเป็นกรดไขมันอิสระ จนทำให้เกิดการอักเสบได้
– P. acne คือเชื้อโรคที่เป็นสิ่งแปลกปลอม เมื่อเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนัง ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายจะต่อต้านด้วยการหลั่งสารต่าง ๆ ออกมาอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก P. acne เป็นแบคทีเรียที่เข้าสู่ร่างกายได้บ่อย ร่างกายจึงจดจำ Antibody ของ P. acne ได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดการอักเสบได้ง่าย
หากแบคทีเรีย P. acne เข้าสู่ร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายยังตอบสนองด้วยวิธีต่าง ๆ ร่วมด้วย เช่น หลั่งสาร Proinflammatory Cytokines, กำจัดแบคทีเรียด้วยเม็ดเลือดขาวชนิดต่าง ๆ หรือสร้าง Antimicrobial Peptides ที่ส่งผลให้ผิวหนังอักเสบเพิ่มขึ้น
– ผนังเซลล์ของ P. acne จะมี Carbohydrate Antigen ที่คอยกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง Antibody ออกมามากกว่าเดิม ดังนั้นจึงพบ P. acne ในผู้ที่เป็นสิวมากกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นสิว แม้จะอยู่ในช่วงอายุเดียวกันหรือสภาพแวดล้อมคล้ายกันก็ตาม
จากเหตุผลข้างต้น การมีอยู่ของ P. acne จึงมีผลอย่างมากกับการทำให้ผิวหนังอักเสบจนเกิดเป็นสิว หรือมีโอกาสทำให้เกิดสิวอักเสบหลังจากเป็นสิวอุดตัน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีงานวิจัยยืนยันว่ายิ่งมีเชื้อแบคทีเรีย P. acne จำนวนมาก ยิ่งทำให้สิวอักเสบรุนแรงมากขึ้นได้จริงหรือไม่
4.การอักเสบ และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน (Inflammation and immune response)
การเกิดสิวมีความเกี่ยวข้องกับการอักเสบ ซึ่งการอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้ ดังนี้
– เกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองด้วยการอักเสบ เพื่อป้องกันและกำจัดสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นออกไปจากร่างกาย
– หากการอักเสบเกิดขึ้นที่ผิวหนัง จะทำให้รู้สึกปวด ร้อน และผิวหนังบวม บริเวณที่อักเสบจะเห็นเป็นสีชมพูหรือสีแดงจากการมีเลือดคั่ง เนื่องจากสารต่าง ๆ และเซลล์เม็ดเลือดขาวเดินทางมาบริเวณที่อักเสบผ่านทางระบบเลือด
เมื่อ P. acne และแบคทีเรียอื่น ๆ เข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง จึงทำให้เกิดการอักเสบขึ้นได้ ซึ่งแบคทีเรียสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ ดังนี้
– เมื่อ Keratinocyte อุดตันที่รูขุมขนจนเกิดเป็น Microcomedone เคราติน น้ำมันจากต่อมไขมัน และแบคทีเรียจะสะสมรวมกันเกิดเป็นถุง Cyst
– เมื่อถุง Cyst ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ หรือโดนรบกวนจนผนังรูขุมขนแตกออก จะทำให้แบคทีเรียเข้าสู่เนื้อเยื่อผิวหนัง ร่างกายก็จะตอบสนองโดยการอักเสบเพื่อกำจัดแบคทีเรียดังกล่าวออกไป
การแพทย์ในอดีตเข้าใจว่า การอักเสบจะเกิดขึ้นหลังสิวอุดตันแตกออกเท่านั้น แต่ในปัจจุบันจากงานวิจัยพบว่า การอักเสบสามารถเกิดก่อนเป็นสิวอุดตันและเกิดหลังสิวอุดตันได้เช่นกัน
สาเหตุการเกิดสิวทั้ง 4 ข้อดังที่ได้กล่าวไป สามารถเกิดได้จากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
– กรรมพันธุ์
– การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย
– สภาพแวดล้อม
– พฤติกรรมการดูแลผิวหนัง
– การใช้ชีวิตประจำวัน
– การทานอาหาร
– การใช้ยา ทั้งยาทาภายนอกและยาสำหรับรับประทาน
แนวทางการป้องกันสิวที่ดี ได้แก่
– การล้างหน้าตามแนวรูขุมขนให้สะอาดวันละ 2 ครั้ง ไม่มากไม่น้อยเกินไป
– ทานอาหารที่มีประโยชน์ครบห้าหมู่
– ผ่อนคลายความเครียด
– ปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนเริ่มใช้ยาใดก็ตาม
– เมื่อเริ่มเป็นสิวควรปรึกษาแพทย์ เพื่อป้องกันการเป็นสิวอักเสบรุนแรงที่อาจนำไปสู่แผลเป็นหลังสิวหายได้
วิธีรักษาสิว
เป็นสิวรักษายังไง? วิธีแก้สิว ลดสิว หรือรักษาสิวที่หน้าและลำตัวมีด้วยกันหลายวิธี โดยแพทย์จะพิจารณาวิธีรักษาจากความรุนแรงของอาการ ปัจจัยที่ทำให้เกิดสาเหตุของสิว และวิธีรักษาที่เหมาะสมกับคนไข้ ซึ่งการรักษานิยมใช้ควบคู่กันหลายวิธี เพราะปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวมักมาจากหลายอย่างประกอบกัน
การรักษาสิวโดยแพทย์ มีหลักการรักษาดังนี้
- ทำให้กระบวนการผลัดเซลล์ผิวกลับมาเป็นปกติ
- ลดการทำงานของต่อมไขมัน
- ลดจำนวนแบคทีเรียบริเวณรูขุมขน โดยเฉพาะแบคทีเรีย P. acne
- ต่อต้านหรือลดการอักเสบ
ซึ่งการรักษาสิวมีหลายวิธี ตั้งแต่การใช้ยา ฮอร์โมน ไปจนถึงหัตถการต่าง ๆ ดังนี้
วิธีรักษาสิวด้วยการรักษาเฉพาะที่
การทำความสะอาดผิว
เพื่อลดการเกิดสิว ควรทำความสะอาดใบหน้าและร่างกายส่วนบนวันละ 2 ครั้ง ด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่มีค่า pH ประมาณ 5-6 หากมีค่า pH สูงเกินไป จะทำให้ระคายเคืองผิวและส่งผลให้น้ำมันบนผิวเสียสมดุลได้
สำหรับผู้ที่เป็นสิวง่ายหรือกำลังเป็นสิวรุนแรง แพทย์อาจให้ใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของตัวยาด้วย เช่น Benzoyl peroxide, Salicylic acid, หรือ Sulfur
การใช้ยาทาภายนอก
วิธีลดสิว รักษาสิวด้วยยาทาภายนอกมีหลายประเภท แต่ละประเภทออกฤทธิ์ต่างกัน เหมาะกับการรักษาสิวต่างชนิดกัน ดังนี้
- Retinoids ยาในกลุ่มอนุพันธุ์วิตามินเอ
Retinoid ชนิดทา สามารถลดการอุดตันและต้านการอักเสบได้ จึงรักษาได้ทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบ แต่อาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง เนื่องจากมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ยังทำให้ผิวบางลงและไวต่อแสงมากขึ้น ผู้ที่ใช้ Retinoid ชนิดทารักษาสิวจึงควรทาครีมกันแดดในตอนกลางวันเป็นประจำ
- Benzoyl peroxide
การใช้ Benzoyl peroxide หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Benzac” เป็นวิธีรักษาสิวที่นิยมใช้กันมากที่สุด สามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยา โดยตัวยาชนิดนี้ จะช่วยลดจำนวนแบคทีเรียด้วยการปล่อย Free oxygen radicals ออกมาทำลายเชื้อแบคทีเรีย
Fact: “free oxygen radicals เป็นอนุมูลอิสระประเภทหนึ่ง ที่สามารถจับกับส่วนต่างๆของเซลล์แบคทีเรีย และสามารถทำลายแบคทีเรียได้”
ข้อดีของ Benzoyl peroxide คือไม่ค่อยพบผู้ที่แพ้ยามากนัก อีกทั้งตัวยายังออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้เหมือนกับยาปฏิชีวนะ แต่เชื้อแบคทีเรียไม่สามารถพัฒนาตัวเองให้ทนทานยา Benzoyl peroxide ได้ ยาชนิดนี้จึงใช้ได้ทั่วไป และไม่ได้ถูกจำกัดการใช้เพื่อป้องกันเชื้อดื้อยาเหมือนกับยาปฏิชีวนะนั่นเอง
– Topical antibiotics ยาปฏิชีวนะชนิดทา
ยาปฏิชีวนะชนิดทาเพื่อรักษาสิว มี 4 ชนิดด้วยกัน ดังนี้
- Erythromycin, Clindamycin, Metronidazole ยาทารักษาสิว 3 ชนิดแรกที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน แต่การใช้งานจริงจะไม่ใช้ตัวยาเพียงตัวใดตัวหนึ่ง เนื่องจากเชื้อดื้อยาเพิ่มขึ้น แพทย์มักให้ใช้เป็นยาสูตรผสมร่วมกับ Benzoyl peroxide หรือใช้ยาทาสิวอื่น ๆ ควบคู่กัน เพื่อให้เชื้อดื้อยาน้อยลง
- Dapsone เป็นยาชนิดสุดท้ายที่ยังไม่มีใช้ในประเทศไทย ใช้สำหรับรักษาสิวอักเสบ ยา Dapsone แบบทาจะปลอดภัยกว่าแบบรับประทาน เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้หากใช้กับผู้ที่ป่วยเป็นโรค G6PD ทั้งนี้ Dapsone ไม่สามารถใช้ร่วมกับ Benzoyl peroxide ได้ เพราะจะทำปฏิกิริยากันจนเกิดเป็นรอยสีส้มบนผิวหนังได้
Fact:“โรค G6PD เป็นโรคที่ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่ายเมื่อร่างกายได้รับยาหรือสารพิษ ดังนั้นต้องระวังในการใช้ยา NSAIDs บางชนิด ยาแอสไพริน และยาปฏิชีวนะ”
– Salicylic acid
Salicylic acid เป็นกรดธรรมชาติที่ลดการอุดตันและฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ นอกจากนี้ยังช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้ Keratinocyte เกาะตัวกันได้น้อยลง จึงลดการเกิดสิวได้ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจทำให้ระคายเคืองได้เช่นกัน
– Azelaic acid
Azelaic acid เป็นกรดธรรมชาติที่ออกฤทธิ์เป็นยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial) และช่วยลดการอุดตันได้ ทั้งยังเป็นสารต้านการสร้างเม็ดสี ช่วยลดรอยดำจากสิวหลังการรักษาสิวได้อีกด้วย ทั้งนี้หากใช้ Azelaic acid มากเกินไปอาจทำให้ผิวไหม้ แสบร้อน หรือเกิดแผลพุพองได้
การรักษาที่มีผลทั่วร่างกาย (Systemic therapy)
การใช้ยาปฏิชีวนะและยาต้านเชื้อแบคทีเรีย (Antibiotic and antibacterial agents)
ยาปฏิชีวนะและยาต้านเชื้อแบคทีเรียแบบทานที่นิยมใช้กันมีหลายชนิด มีทั้งใช้ตัวเดียวและใช้เป็นสูตรยาสองตัวร่วมกัน ขึ้นอยู่แพทย์จะพิจารณา การใช้ยาประเภทนี้ค่อนข้างจำกัดการใช้อยู่มาก เพื่อป้องกันเชื้อดื้อยาเพิ่มมากขึ้น
การรักษาด้วยฮอร์โมน (Hormonal therapy)
การรักษาด้วยฮอร์โมนมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดการสร้างฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดสิว ซึ่งยาที่ใช้รักษาสิวด้วยการควบคุมฮอร์โมน มีดังนี้
ยาคุมกำเนิดแบบทาน (Oral contraceptives)
ยาคุมกำเนิดเป็นยาที่มีผลกับระดับฮอร์โมน นิยมใช้เพื่อรักษาสิวในเพศหญิง ช่วยรักษาสิวได้ด้วยการออกฤทธิ์ 4 อย่าง ได้แก่
– ช่วยลดปริมาณแอนโดรเจน ที่ผลิตจากอวัยวะสืบพันธุ์ โดยเข้าไปกดการสร้าง LH (luteinizing hormone) ที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนแอนโดรเจน
– ลดปริมาณของ Free testosterone เพื่อไม่ให้ Free testosterone ในเลือดถูกดึงไปสร้างเป็น DHT (Dihydrotestosterone) ที่กระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน และการเพิ่มจำนวนของ Keratinocyte
– ยับยั้งการทำงานของ 5-α reductase เอนไซม์ที่ทำหน้าที่เปลี่ยน Testosterone ให้กลายเป็น DHT
– ต่อต้านผลของฮอร์โมนเพศชาย โดยขัดขวางตัวรับของแอนโดรเจนที่อยู่บนเซลล์ Keratinocytes และ Sebocytes ทำให้แอนโดรเจนไม่สามารถออกฤทธิ์กับเซลล์ทั้งสองตัวได้
Gonadotropin-Releasing Hormone Agonists
ยาที่ออกฤทธิ์ทำลายวงจรการปล่อยฮอร์โมน Gonadotropin ที่กระตุ้นให้เกิดการสร้างฮอร์โมนแอนโดรเจน ทำให้ปริมาณฮอร์โมนแอนโดรเจนในร่างกายลดลง
การรักษาสิวโดยการใช้ยา Isotretinoin
วิธีรักษาสิวด้วยยา Isotretinoin สำหรับใช้ทาน นิยมใช้กับผู้ที่เป็นสิวชนิด Nodular ที่รุนแรงปานกลาง และรุนแรงมาก หรือในกรณีที่รักษาไม่หายจากเชื้อดื้อยา โดยตัวยาจะออกฤทธิ์ ดังนี้
– ยับยั้งการทำงานของต่อมไขมัน
– ลดการอักเสบ
ช่วยให้การผลัดเซลล์ผิวเป็นปกติ
– ช่วยลดจำนวนแบคทีเรีย P. acne จากปริมาณ Sebum ที่ลดลง
เมื่อใช้ Isotretinoin รักษาสิว ส่วนใหญ่สามารถใช้ได้ผลดี แต่ในขณะเดียวกันก็พบผลข้างเคียงได้มากทั้งอาการที่เล็กน้อยและรุนแรง ทั้งนี้การออกฤทธิ์ของ Isotretinoin ทางการแพทย์ยังไม่ทราบผลทั้งหมดอย่างชัดเจน ผลการรักษาหลังหยุดยาจึงอาจอยู่นานถึง 1 ปี หรือบางกรณีอาจอยู่เพียง 2-4 เดือน โดยไม่ทราบว่าปัจจัยใดที่ส่งผลให้ระยะเวลาการออกฤทธิ์แตกต่างกันมาก
วิธีการรักษาสิวโดยการควบคุมอาหาร
อาหารบางอย่าง เช่น นมหรือผลิตภัณฑ์จากนม และอาหารที่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง มีผลทำให้เกิดสิว จากงานวิจัยพบว่า การงดอาหารเหล่านี้เป็นวิธีลดสิวหรือรักษาสิวได้ ดังนั้นการคุมอาหารจึงสามารถทำร่วมกับการรักษาอื่น ๆ แต่ไม่ได้การันตีผลลัพธ์แต่อย่างใด
วิธีรักษาสิวด้วยหัตถการต่าง ๆ (Procedures)
การกดสิว (Comedone extraction)
การกดสิว เป็นวิธีที่นิยมใช้กันในอดีต แต่การแพทย์ปัจจุบันพบว่า การกดสิวเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรักษาสิวได้ และไม่ได้ลดสาเหตุการเกิดสิวแต่อย่างใด หากต้องการกดสิว ควรใช้ยาหรือใช้วิธีรักษาสิวที่ต้นเหตุอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย
การฉีด corticosteroids เข้าที่สิวโดยตรง
วิธีการรักษาสิวแบบนี้เหมาะกับผู้ที่เป็นสิว ที่มีการอักเสบและก้อนใต้ผิวหนัง (Nodular acne) ซึ่งจะช่วยให้สิวยุบได้เร็ว ลดอาการเจ็บปวด และทำได้โดยไม่ต้องกรีดหรือถ่ายของเหลวออกจากสิว แต่อาจเสี่ยงเกิดรอยแผลเป็นยุบหลังสิวหายได้
การใช้สารเคมีลอกผิว (Chemical peel)
วิธีแก้สิวด้วยการใช้สารเคมีลอกผิว เป็นการลอกผิวหนังชั้นนอกสุดออกไปด้วยสารเคมี เพื่อช่วยในกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ป้องกันการก่อตัวของ Keratinocyte ในรูขุมขน เหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถรักษาสิวด้วยวิธีอื่นได้ เช่น ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์และไม่สามารถใช้ยาบางชนิดได้
การทำเลเซอร์และการบำบัดด้วยแสง
การรักษาสิวด้วยการทำเลเซอร์และการบำบัดด้วยแสง เป็นวิธีการใหม่ที่ยังพัฒนาอยู่เรื่อย ๆ เช่น การใช้ Pulse dye laser (vBeam), Dual Yellow laser, Diode laser, Long-pulse Nd:YAG laser, Er:Glass laser เป็นต้น ซึ่งมีข้อดี ดังต่อไปนี้
– มีผลข้างเคียงน้อยกว่าการใช้ยา
– ช่วยให้สิวยุบเร็ว
– ช่วยให้รอยแดงจางลง
– ช่วยฆ่าเชื้อ P. acne
– ช่วยลดการอักเสบ
– รักษารอยดำ หลุมสิว และรอยแผลเป็นจากสิว
นอกจากการทำเลเซอร์และการบำบัดด้วยแสง ยังสามารถรักษารอยสิว และหลุมสิวด้วยวิธีอื่น ๆ ได้ ดังนี้
– Subcision : เป็นการใช้เข็มเข้าไปตัดเนื้อเยื่อในหลุมสิวลึก ทำให้ผิวหนังชั้นล่างหลุดออกจากผิวหนังชั้นบน แล้วปล่อยให้ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาเติมในส่วนนั้นเอง
– Dermabrasion : เป็นการขัดผิวเพื่อให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น ปัจจุบันไม่นิยมทำกันแล้ว เนื่องจากเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มาก
– Microneedling : เป็นการใช้เข็มเล็ก ๆ จิ้มที่ผิวหนังเพื่อกระตุ้นเนื้อเยื่อบริเวณนั้น ให้ต่อมไขมันทำงานลดลง ทั้งยังกระตุ้นให้ผิวหนังเรียงตัวใหม่ และกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ทำให้รอยสิวตื้นขึ้นได้ แต่วิธีการนี้ยังไม่ได้รับรองโดย FDA ไทย
– การฉีด Filler : เป็นการใช้ Filler ฉีดลงไปที่หลุมสิวโดยตรง เพื่อเติมเนื้อเยื่อด้านล่างหลุมสิว ทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นได้ในเวลาสั้น ๆ
วิธีรักษาสิวด้วยการปรึกษาแพทย์
การปรึกษาแพทย์ เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการรักษาสิวก่อนตัดสินใจรักษาสิวด้วยวิธีอื่น ๆ เพราะแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังสามารถบอกถึงปัญหาของสิว ทางเลือกในการรักษา ตลอดจนการป้องกันไม่ให้สิวดื้อยา และดีต่อสภาพผิวในระยะยาว
ในปัจจุบัน การปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาสิว ไม่จำเป็นต้องเคลียร์ตารางให้ว่างเพื่อนัดเวลากับแพทย์ หรือเดินทางไปโรงพยาบาลหรือคลินิกอีกต่อไป เพียงเข้าแอปพลิเคชัน SkinX ก็สามารถเลือกปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังได้มากถึง 210 ท่าน จากสถานพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศ แก้ปัญหาสิวโดยแพทย์ผิวหนัง เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
สิวมีกี่ประเภท
ประเภทของสิวสามารถแบ่งได้ 2 แบบ คือ แบ่งตามความรุนแรงและแบ่งตามลักษณะสิว ดังนี้
หากแบ่งตามความรุนแรงจะสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่
- สิวเล็กน้อยหรือสิวไม่รุนแรง (Mild acne) เป็นสิวอุดตันที่ไม่มีอาการอักเสบ ได้แก่ สิวอุดตันหัวเปิด และสิวอุดตันหัวปิด หรือเป็นสิวอักเสบในผิวหนังชั้นตื้น ๆ อย่างสิวตุ่มแดงและสิวหัวหนองจำนวนเล็กน้อย
- สิวปานกลาง (Moderate acne) เป็นสิวตุ่มแดงและสิวหัวหนองจำนวนปานกลาง หรือเป็นสิวอักเสบลึกอย่าง Nodular acne จำนวนเล็กน้อย
- สิวรุนแรง (Severe acne) เป็นสิวตุ่มแดงและสิวหัวหนองจำนวนมาก เป็นสิวแบบ Nodular acne จำนวนมากและเรื้อรัง หรือเป็นสิวอักเสบขั้นรุนแรงอย่าง Acne conglobata หรือ Acne fulminans
หากแบ่งตามลักษณะสิวจะสามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ ได้แก่
- สิวไม่อักเสบหรือสิวอุดตัน ประกอบด้วย สิวหัวเปิดและสิวหัวปิด
- สิวอักเสบ ประกอบด้วย สิวตุ่มแดง, สิวหัวหนอง, สิวหัวช้าง สิวไต หรือสิวก้อนกลม และสิวก้อนกลมอักเสบรุนแรง
สิวไม่อักเสบ
สิวไม่อักเสบ คือ สิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน แต่ไม่มีอาการอักเสบร่วมด้วย แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
- สิวอุดตัน (Comedones)
สิวอุดตัน เป็นสิวที่เกิดขึ้นหลังจากเกิด Microcomedone เมื่อเคราติน เซลล์ผิวหนังที่ถูกผลัดออก ไขมัน และแบคทีเรียก่อตัวกันจะทำให้ Microcomedone กลายเป็นสิวอุดตัน (Comedones) ในที่สุด
สิวอุดตันมีด้วยกัน 2 ชนิด ได้แก่ สิวหัวปิดหรือสิวหัวขาว และสิวหัวเปิดหรือสิวหัวดำ
– สิวหัวปิด (Closed Comedone) – เป็นสิวที่มองเห็นได้ยาก ลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก มีสีขาว สีครีม หรือเป็นสีเดียวกับผิวหนัง จึงเรียกกันอีกชื่อว่า สิวหัวขาว (Whiteheads) เป็นสิวที่อยู่ใต้ผิวหนัง หากปล่อยไว้ไม่รักษา สิวอาจใหญ่ขึ้นจนผนังรูขุมขนแตกออก ทำให้เกิดการติดเชื้อจนกลายเป็นสิวอักเสบได้
– สิวหัวเปิด (Open Comedone – เป็นสิวที่มองเห็นก้อนเคราติน ไขมัน และแบคทีเรียที่สะสมอยู่ในสิวได้ มีลักษณะเป็นหัวแบนเรียบ หรือโผล่พ้นผิวหนังขึ้นมาเล็กน้อย บางครั้งหัวสิวจะทำปฏิกิริยา Oxidation กับอากาศจนเกิดเป็นสีดำ จึงเรียกสิวแบบนี้กันว่า สิวหัวดำ (Blackheads)
สิวอุดตัน ไม่จำเป็นต้องใช้ยาทานเพื่อปรับฮอร์โมนหรือส่งผลต่อระบบร่างกายอื่น ๆ แต่สามารถรักษาด้วยการใช้ยาทาภายนอกได้ ดังนี้
– ใช้ Retinoid, Benzoyl peroxide หรือยาสูตรผสมอื่น ๆ
– ใช้ Azelaic acid หรือ Salicylic acid ที่ช่วยในเรื่องการผลัดเซลล์ผิว ในกรณีที่เป็นสิวอุดตันจำนวนมาก
– ทำหัตถการกดสิว ซึ่งต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น ไม่ควรทำเองได้ที่บ้าน เนื่องจากอาจทำให้เสี่ยงติดเชื้อ เกิดการอักเสบ หรือเกิดรอยแผลเป็นหลังจากกดสิวได้
หลายคนมักสับสนสิวอุดตันกับโรคผิวหนังอื่น ๆ อย่างสิวผดและสิวหิน ซึ่งสิวดังกล่าวไม่ใช่สิว เป็นเพียงความผิดปกติของผิวหนังที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นสิวเท่านั้น
สิวผด (Acne aestivalis หรือ Acne mallorca) ไม่ได้เกิดจากการอุดตันหรือการอักเสบเหมือนสิว แต่มีลักษณะดังนี้
– เป็นหนึ่งในผื่นที่เกิดจากแสงแดด (Polymorphous light eruption) โดย UVA จะกระตุ้นให้เกิดรอยผดเป็นตุ่มเล็ก ๆ คล้ายกับสิวอุดตันหัวปิด บางครั้งเป็นตุ่มแดงคล้ายกับสิวอักเสบ
– พบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ที่มีอายุระหว่าง 20-40 ปีเป็นส่วนใหญ่ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเคยเป็นสิวมาก่อน
– มักเกิดขึ้นเฉพาะในฤดูที่แดดแรง เช่น ฤดูร้อนหรือฤดูใบไม้ผลิในต่างประเทศ เมื่อเข้าฤดูฝนอาการของโรคจะหายไปเองโดยไม่ต้องรักษา
สิวหิน (Syringoma) แท้จริงแล้วเป็นเนื้องอกชนิดดีของต่อมเหงื่อ มีลักษณะเป็นตุ่มสีเนื้อ แข็ง และกดไม่ออก มักอยู่บริเวณรอบ ๆ ตา
สิวเม็ดข้าวสาร (Milia หรือ Milium Cysts) บางครั้งนับเป็นซีสต์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นก้อนเม็ดเล็ก ๆ สีขาว ก้อนสิวจะเป็นตุ่มนูนแข็งขนาดเล็ก สีเดียวกับผิวหนัง มักขึ้นใกล้ดวงตา แก้ม หรือจมูก
สิวอักเสบ
สิวอักเสบ (Inflamed acne หรือ Inflammatory acne) คือ สิวที่มีอาการอักเสบบริเวณผิวหนังหรือต่อมไขมันร่วมด้วยจากการติดเชื้อแบคทีเรีย สามาารถแบ่งออกตามระยะอาการ และความลึกของการอักเสบได้ ดังนี้
- สิวตุ่มแดง (Papule)
สิวตุ่มแดง (Papule) คือ สิวอักเสบที่พัฒนามาจากสิวอุดตัน มีอาการอักเสบบนผิวหนังตื้น ๆ ยังไม่ทำให้เกิดหนองหรือการอักเสบในผิวหนังชั้นที่อยู่ลึกลงไป มีลักษณะเป็นตุ่มสิวอักเสบเม็ดเล็ก ๆ สีแดง เมื่อสัมผัสโดนจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาทาภายนอกร่วมกับยาปฏิชีวนะแบบทาน หรือร่วมกับยาคุมกำเนิดในเพศหญิง
- สิวหัวหนอง
สิวหัวหนอง (Pustule) เป็นสิวขนาดเล็ก มีหนองอยู่ตรงกลาง รอบ ๆ เป็นสีแดง เมื่อจับจะรู้สึกเจ็บ เป็นสิวที่พัฒนามาจากสิวอุดตันเช่นกัน แต่จะอักเสบมากกว่าสิวตุ่มแดง สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาทาภายนอก ร่วมกับยาปฏิชีวนะแบบทาน หรือร่วมกับยาคุมกำเนิดในเพศหญิงเช่นเดียวกับสิวตุ่มแดง
- สิวหัวช้าง
สิวหัวช้าง (Nodule) คือ สิวที่เกิดการอักเสบลุกลามเข้าไปถึงชั้นผิวหนังด้านใน ทำให้เป็นก้อนตุ่มนูนขนาดใหญ่สีชมพูที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า บางครั้งเรียกว่า สิวตุ่มนูนขนาดใหญ่ สิวไต หรือสิวไม่มีหัว เมื่อเป็นสิวชนิดนี้จะมีอาการเจ็บมาก ซึ่งมีวิธีรักษา ดังนี้
- ใช้ยาทาภายนอกร่วมกับยาทานอย่าง ยาคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะ หรือยาทาน Isotretinoin แล้วแต่แพทย์จะพิจารณา
- รักษาร่วมกับหัตถการอื่น ๆ เช่น การฉีด Corticosteroids การใช้เลเซอร์ หรือการบำบัดด้วยแสง
หลายคนอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับสิวซีสต์กันมาบ้าง ซึ่งใช้เรียกสิวอักเสบรุนแรงชนิดหนึ่ง เนื่องจากการแพทย์ในอดีตเชื่อว่า สิวอักเสบรุนแรงบางชนิดจะมีอาการของซีสต์ (Cyst) ร่วมด้วย แต่การแพทย์ปัจจุบันที่พบว่า สิวและซีสต์เป็นโรคคนละชนิดกันจึงเลิกใช้คำว่าสิวซีสต์ไป
ส่วน “สิวสเตียรอยด์” ที่คนมักเข้าใจผิดว่าเป็นสิวอักเสบหรือสิวติดสาร แท้จริงแล้วสิวสเตียรอยด์ไม่ใช่สิว แต่เป็นภาวะความผิดปกติบนผิวหนัง จากการใช้ผลิตภัณฑ์ยาที่ใช้ทาลงบนผิวต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน จนเกิดเป็นตุ่มนูนแดงคล้ายกับสิวตุ่มแดงหรือสิวหัวช้าง ในบางกรณีอาจเป็นตุ่มหนองหรือตุ่มพุพองได้ สิวชนิดนี้รักษาได้โดย
– หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
– ปรึกษาแพทย์เพื่อปรับระยะเวลาการใช้สารสเตียรอยด์
– พบแพทย์เพื่อรักษารอยและแผลเป็นหลังการรักษาต่อไป
Fact : “นอกจากสิวจะส่งผลเสียกับรูปลักษณ์แล้ว ยังส่งผลเสียกับจิตใจได้มาก มีงานวิจัยหนึ่งรายงานว่า 14% ของนักเรียนในกลุ่มสำรวจ มีความเสี่ยงเกิดอาการซึมเศร้าเพิ่มขึ้นโดยมีสิวเป็นปัจจัยหนึ่ง”
บริเวณที่มักเกิดสิว
สิวเกิดขึ้นได้ทั้งบริเวณอก หลัง และเกิดบนใบหน้ามากที่สุด โดยเฉพาะบริเวณเส้นกึ่งกลางลำตัวอย่าง หน้าผาก จมูก และคาง ซึ่งสิวแต่ละที่ก็มีสาเหตุการเกิดที่ต่างกันไป ดังนี้
สิวที่คาง
บริเวณคางมีโอกาสเกิดสิวได้มากกว่าที่อื่น เพราะอยู่ในเส้นกึ่งกลางบนใบหน้าที่จะผลิตน้ำมันออกมามากกว่าปกติ หรือที่รู้จักกันในชื่อ T-zone เมื่อต่อมไขมันทำงานมากกว่าปกติ สิวจึงมักจะเกิดสิวขึ้นที่คางก่อน นอกจากนี้ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวที่คาง ได้แก่
– ฮอร์โมน
– การรับประทานอาหารที่มีนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม
– การใช้มือสัมผัสคาง
– การสวมใส่หน้ากากอนามัย จนเกิดการเสียดสี สิ่งสกปรกสะสมและอุดตันในรูขุมขน และติดเชื้อแบคทีเรียที่คาง
สิวที่หน้าผาก
หน้าผากก็เป็นบริเวณที่มักเกิดสิวก่อนส่วนอื่นเช่นเดียวกับคาง เพราะอยู่บริเวณเส้นกึ่งกลางใบหน้า นอกจากนี้หน้าผากยังเป็นบริเวณที่สัมผัสกับสิ่งสกปรกมาก เพราะเป็นจุดที่มีเหงื่อเยอะ ซึ่งสิวที่หน้าผากก็เกิดได้จากหลายปัจจัย ได้แก่
– ความเครียด
– พักผ่อนไม่เพียงพอ
– สิ่งสกปรกอย่างเหงื่อไคลและมลภาวะ ที่สะสมอยู่ที่หน้าผากจากการไว้ผมหน้าม้า ใส่หมวก หรือใส่ผ้าคาดศีรษะ
สิวที่จมูก
จมูกก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่อยู่เส้นกึ่งกลาง ทำให้สิวที่จมูกเกิดขึ้นได้มากกว่าส่วนอื่น ๆ และเกิดความมันได้มาก สิวที่จมูก ส่วนใหญ่จะเป็นสิวอุดตันชนิดหัวเปิดและสิวเสี้ยน (Trichostasis Spinulosa) ซึ่งสิวเสี้ยนไม่ใช่สิว แต่เป็นขนและรากขนหลายเส้นในรูขุมขนที่จับตัวกับน้ำมัน สิ่งสกปรก และเซลล์ที่ตายแล้ว จนเกิดเป็นก้อนคล้ายสิวอยู่รอบ ๆ เส้นขนเหล่านั้นอีกทีหนึ่ง
สิวที่แก้ม
สิวที่แก้ม มักจะเกิดจากสิ่งสกปรกและการล้างหน้าไม่สะอาดเป็นหลัก เพราะแก้มเป็นบริเวณที่ต้องสัมผัสกับแหล่งรวมสิ่งสกปรกและเชื้อโรคต่าง ๆ เช่น หมอน, เส้นผม, กรอบแว่น หรือโทรศัพท์ นอกจากนี้สิวที่แก้มยังเกิดจากน้ำมัน หรือการผลัดเซลล์ผิวที่ผิดปกติได้เช่นกัน
สิวที่ปาก
สิวที่ปากจะอยู่บริเวณรอบ ๆ ริมฝีปาก เกิดจากสิ่งสกปรกได้มาก เพราะปากเป็นบริเวณที่เราใช้ทานข้าว เมื่ออาหารสัมผัสรอบ ๆ ปาก ก็อาจทำให้เกิดสิวได้หากรักษาความสะอาดได้ไม่ดีพอ นอกจากนี้สิวที่ปากยังเกิดจากการแพ้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้ด้วย เช่น
– แพ้ยาสีฟัน
– แพ้ลิปสติก
– แพ้น้ำยาบ้วนปาก
– การใส่หน้ากากอนามัยเป็นเวลานาน
สิวที่คอ
สิวที่คอมักเกิดจากเส้นผมเป็นส่วนใหญ่ เพราะคอเป็นบริเวณที่สิ่งสกปรกจากเส้นผมและหนังศีรษะไหลมาสะสมอยู่ หากไว้ผมยาว ชอบปล่อยผม เส้นผมจะทำให้ผิวหนังอับ จนเหงื่อไคลสะสมและเกิดเป็นสิวขึ้นมา นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการแพ้ยาสระผม หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับเส้นผมและหนังศีรษะอื่น ๆ ด้วย
สิวที่หลัง
บริเวณหลังก็เป็นอีกบริเวณหนึ่งที่อยู่ในแนวเส้นกึ่งกลาง จึงเกิดสิวได้ง่าย สิวที่หลังเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
– ความมัน
– การผลัดเซลล์ผิวที่ผิดปกติ
– เชื้อแบคทีเรีย
– การอักเสบของผิวหนัง
– ยีสต์หรือเชื้อราตัวเล็ก ๆ ที่เกิดจากเหงื่อไคล สิ่งสกปรก และน้ำมันบนผิวหนัง ซึ่งส่งผลให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการอยู่อาศัยของยีสต์เหล่านี้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิว
สิวฮอร์โมน รักษาอย่างไร?
หากเป็นสิวฮอร์โมนในผู้ชาย อาจไม่สามารถรักษาที่ฮอร์โมนได้ เพราะอาจมีผลข้างเคียงด้านสุขภาพ เนื่องจากต้นเหตุของการเกิดสิวคือ ฮอร์โมนในกลุ่มแอนโดรเจน ที่มีผลต่อการแสดงออกทางเพศชาย การรักษาสิวจึงนิยมใช้ยาทาภายนอกร่วมกับยาปฏิชีวนะ หรือยา Isotretinoin เพื่อลดต้นเหตุการเกิดสิว
ส่วนวิธีรักษาสิวฮอร์โมนในผู้หญิง นิยมใช้ยาคุมกำเนิดร่วมกับยาทาภายนอก เนื่องจากการมีฮอร์โมนเพศชายมากเกินไปจนทำให้เกิดสิว สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายและความมั่นใจของผู้หญิงได้
สิวเห่อเต็มหน้า ทำไงดี?
สิวเห่อเต็มหน้า ควรพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะสิวเห่อเต็มหน้านับเป็นสิวปานกลางหรือสิวรุนแรงที่ต้องใช้เวลาในการรักษา และอาจต้องใช้ยาทานซึ่งอาจมีผลข้างเคียงในการรักษาด้วย
สามารถปรึกษากับแพทย์ผ่านแอป SkinX เองได้ แพทย์สามารถจ่ายยาให้ได้เช่นเดียวกับการไปพบแพทย์ตามปกติ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจทำให้เกิดรอยดำ รอยแดง หรือหลุมสิวหลังรักษาหาย หรือสิวอาจพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบรุนแรงมากกว่าเดิมได้
ผิวไม่แข็งแรง เป็นสิวง่าย ดูแลอย่างไร?
ผู้ที่ผิวไม่แข็งแรง ไม่ว่าจะผิวอักเสบง่าย Keratinocyte ผลัดตัวผิดปกติได้ง่าย หรือผิวมันมากกว่าปกติ ซึ่งทำให้เป็นสิวได้ง่ายเมื่อผิวถูกกระตุ้นด้วยสารบางอย่าง
ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อย่างระมัดระวัง โดยไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ขัดผิวมากจนเกินไป และไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า pH สูงหรือต่ำจนเกินไป หรือหากอยากได้คำแนะนำสำหรับผิวเฉพาะบุคคล ก็สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีป้องกันการเกิดสิวได้เช่นกัน
สรุป
สิวเป็นความผิดปกติที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน และยังสามารถรักษาได้ การรักษาสิวอาจใช้เวลานาน แต่หากปรึกษาแพทย์ผิวหนัง แล้วรักษาอย่างถูกวิธี ดูแลตัวเองอย่างดี และทำตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด สิวก็จะกลายเป็นเพียงเรื่องสิว ๆ สำหรับคุณ
ทำเรื่องสิวให้เป็นเรื่องปกติ แก้ปัญหาสิวด้วยการปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรักษาสิวกับแอป SkinX สะดวก รวดเร็ว ง่ายดาย รอรับยาได้ที่บ้าน ดาวน์โหลดแอป ได้ง่าย ๆ แค่คลิกเดียว!
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก
Burgess, L. Nodular acne: Definition and treatment options. (2018, May 15). Medical news today.
https://www.medicalnewstoday.com/articles/321815#takeaway
Neimeier, V., kupfer, J., Demmelbauer-Ebner, M., et al. Coping with acne vulgaris. Evaluation of thechronic skin disorder questionnaire in patients with acne. Dermatology. 1998;196:108-115.
White GM. Recent findings in the epidemiologic evidence, classification, and subtypes of acne
vulgaris. J Am Acad Dermatol. 1998;39:S34-37.